เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1579 ข้อเสนอของหลินเป่ยเฉิน
ตอนที่ 1,579 ข้อเสนอของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินขบคิดถึงขอบเขตพลังยุทธ์ของตนเอง
วิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณมีประโยชน์ทั้งการรุกและการรับ นอกจากช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังปราณแล้ว มันยังช่วยทำให้ผิวหนังมีความแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา สภาพร่างกายของหลินเป่ยเฉินอยู่ในจุดที่สมบูรณ์สูงสุด แม้ไม่ต้องใช้พลังลมปราณ หลินเป่ยเฉินก็สามารถจัดการจอมเทพระดับ 4 ได้โดยไม่มีปัญหา…
หลินเป่ยเฉินจึงมีแนวโน้มที่จะเลื่อนขั้นพลังได้เร็วกว่าผู้อื่น
วิชาการต่อสู้ที่เขาใช้อยู่ในปัจจุบัน ล้วนแต่พึ่งพาอาศัยปืนกลมืออูซี่ ปืน AK47 และอาวุธหนักชนิดอื่น ๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เด็กหนุ่มจึงไม่ต้องกังวลปัญหาในระยะสั้น
สิ่งที่เขาควรเป็นกังวลคือการฝึกวิชากระบี่และการหลอมรวมวิชากระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทรให้เหลือเพียงสามกระบวนท่าต่างหาก
หลินเป่ยเฉินยังคงไม่รู้ว่าสมควรเริ่มต้นที่จุดใด
แม้ว่าเขาจะเป็นบุคคลที่หลงตนเองอย่างไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังมองโลกตามความเป็นจริง การหลอมรวมวิชากระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทรให้เหลือเพียงสามกระบวนท่านั้น บางทีมันอาจเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถกระทำได้ก็เป็นได้
เพราะฉะนั้น ฝืนไปก็เท่านั้น
เรื่องราวบางอย่างมีแต่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้เชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองที่นักพรตหญิงชิน ในหัวใจเกิดความคิดบางอย่าง
สิ่งสำคัญสูงสุดคือการเลื่อนขอบเขตพลังขึ้นสูงขั้นจอมเทพระดับ 5 และเปลี่ยนปราณจำแลงให้กลายเป็นปราณแท้จริง ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวขึ้นสู่ขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อไป
และหากหลินเป่ยเฉินอยากจะเลื่อนขั้นพลังให้ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เขาก็ต้องหาตัวช่วยเสริม!
ขอบเขตพลังในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉินไม่สูงส่งอันใด เป็นเพียงจอมเทพระดับ 4 เท่านั้น
วิชาเดียวที่เขาสามารถฝึกฝนได้อย่างถูกต้องก็คือวิชาสำรวจจิต ซึ่งเป็นคัมภีร์พื้นฐานที่ได้รับมอบมาจากสำนักกระบี่เหินฟ้าเท่านั้น
ถ้าเขาอยากแข็งแกร่งมากกว่านี้ ก็ต้องหาเคล็ดวิชาที่สูงส่งมากกว่านี้มาฝึกฝน
แต่คงเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อย
หลินเป่ยเฉินมีเหตุผลที่ปฏิเสธคำเชิญชวนของบรรดาท่านเจ้าสำนักใหญ่และยืนกรานว่าตนเองจะไม่เข้าร่วมการประลองในตอนแรก
เพราะเมื่อถึงเวลาที่เขาต้องแสดงฝีมือจริง ๆ หลินเป่ยเฉินก็จะสามารถยื่นข้อเสนอได้ตามใจชอบ
อย่างเช่น การขอคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ระดับสูง…
เช่นเดียวกับพืชสมุนไพรวิเศษอีกหลายชนิดที่หลินเป่ยเฉินเคยขโมยมาจากเกม Happy Farm
หลินเป่ยเฉินเริ่มกำหนดแผนการของตนเอง
พร้อมกับรับฟังการอธิบายข้อมูลจากนักพรตหญิงชินต่อไป
ชั้นเรียนของนักพรตหญิงชินยังคงดำเนินต่อไป…
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินกำลังสวมบทบาทเป็นเด็กนักเรียนที่ตั้งใจฟังคุณครูสอนหนังสืออยู่นั้น เสียงของเสี่ยวจี้ก็ดังขึ้นในหูของเขาว่า…
‘ตรวจพบภารกิจเร่งด่วนจากแอปพลิเคชัน Keep เจ้าค่ะ นายท่านอยากตรวจสอบรายละเอียดเลยไหมเจ้าคะ?’
หลินเป่ยเฉินชะงักเล็กน้อย ก่อนยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่ แอปพลิเคชัน Keep ก็มักจะแจ้งเตือนขึ้นมาได้ถูกเวลาเสมอ
เขารีบนำโทรศัพท์มือถือออกมากดดูแอป Keep
‘ภารกิจเลื่อนขั้นพลังด่วนพิเศษ’
‘เนื้อหาภารกิจ: เผ่าพันธุ์มนุษย์ในแดนมหาแผ่นดินกำลังประสบกับวิกฤตการณ์ใหญ่หลวง มนุษยชาติกำลังจะต้องพบเจอกับยุคมืดที่แสนน่ากลัว หลินเป่ยเฉิน เจ้าต้องรีบเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองโดยเร็วมากที่สุด เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องนำสหายของตนเองอย่างเช่น เซียวปิง นักพรตหญิงชิน อากวง เสี่ยวหู หลงหน่า องค์ชายเจี้ยนอวี่ อวี้อู๋เฉียน หนงซัว มาร่วมแรงร่วมใจกันออกกำลังกาย…’
‘ขั้นตอนปฏิบัติการ: ออกกำลังกายตามแบบแผนที่ทางแอปพลิเคชัน Keep กำหนดให้ ภายในเวลาสามวัน บุคคลทั้งเก้าจะต้องเลื่อนขั้นพลังให้ได้อย่างน้อยหนึ่งขั้น’
‘ของรางวัล: โอสถวิเศษสำหรับการเลื่อนขอบเขตพลัง’
‘หมายเหตุ: โอสถวิเศษสามารถใช้งานได้แต่เพียงเจ้าของภารกิจเท่านั้น’
‘การจับเวลาจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้’
หลังจากนั้น บนหน้าจอของแอปพลิเคชัน Keep ก็ปรากฏรูปนาฬิกาจับเวลานับถอยหลัง
เมื่อหลินเป่ยเฉินอ่านข้อความทั้งหมด ความคิดมากมายก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมอง
ภารกิจด่วนในครั้งนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนกับผู้อาวุโสหนงซัวก็มีชื่อปรากฏเข้ามาด้วย… สรุปก็คือแอปพลิเคชัน Keep รับรองคุณสมบัติของทั้งสองคนนี้แล้วหรือ?
อีกอย่าง ตาเฒ่าหวังจงกลับไม่มีชื่อปรากฏอยู่ในภารกิจ
เป็นไปตามคาด หวังจงนี่พึ่งพาไม่ได้เลยจริง ๆ
แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ยังมองข้าม
สรุปก็คือ ภารกิจของพวกเขาทั้งเก้าคนในขณะนี้ คือการเลื่อนขั้นพลังให้ได้อย่างน้อยหนึ่งขั้นในระยะเวลาสามวันที่เหลืออยู่
ถ้าทำภารกิจได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็จะได้รับโอสถวิเศษสำหรับการเลื่อนขั้นพลัง
แต่มันเป็นโอสถวิเศษชนิดใดกัน?
หลินเป่ยเฉินรีบวิเคราะห์ข้อมูลของภารกิจการออกกำลังกายครั้งนี้อย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ดาวน์โหลดแบบแผนสำหรับการออกกำลังกายเก็บเอาไว้ในโทรศัพท์ด้วยเช่นกัน
ขั้นตอนการออกกำลังกายยังคงเป็นวิธีการพื้นฐานเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง การยกขา การเดินขึ้นบันได การกระโดดตบ การสควอท…
นักพรตหญิงชินจะยอมทำท่าทางเหล่านั้นไหมเนี่ย?
แค่คิดก็รู้สึกเขินแทนแล้ว
สงสัยต้องเปลี่ยนแผนพาทุกคนไปฝึกในสถานที่อื่นซะแล้วสิ
สุดท้าย ชั้นเรียนของนักพรตหญิงชินก็จบลง
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนปรบมือชื่นชมอย่างออกหน้าออกตา
พร้อมกับกล่าวว่า
“สมแล้วที่อาจารย์ชินเป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่ง นอกจากจะมีหน้าตางดงามแล้ว ยังมีความชาญฉลาดไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด เพียงระยะเวลาแค่หนึ่งเดือน อาจารย์ชินก็สามารถย่อยข้อมูลต่าง ๆ ให้พวกเราเข้าใจได้โดยไม่ต้องเสียเวลาฝึกฝนนานนับสิบปี และสิ่งนี้เองก็จะช่วยให้พวกเราสามารถวางแผนการต่อสู้ จนต้องคว้าชัยชนะได้ในท้ายที่สุดอย่างแน่นอน...”
ถ้อยคำประจบเอาใจเหล่านี้ แทบทำให้นักพรตหญิงชินต้องยกมือกุมขมับ
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปด้วยความภาคภูมิใจว่า “บางท่านอาจจะยังสงสัยในวิสัยทัศน์ของข้า แต่เซียวปิงน้องรักและอากวงคือผู้ที่เชื่อมั่นในตัวข้าอย่างแท้จริง พวกเขาเคยเห็นกับตามาแล้วว่าแผนการของข้านั้นเด็ดดวงมากเพียงใด และครั้งนี้ ข้าก็รู้แล้วว่าพวกเราสมควรทำอย่างไรต่อไป”
เซียวปิงกับอากวง เช่นเดียวกับเจ้าเสือเสี่ยวหู ต่างก็มีดวงตาเป็นประกายแวววาวด้วยความตื่นเต้น
หลงหน่ากับองค์ชายเจี้ยนอวี่มีสีหน้าเลื่อนลอย
นักพรตหญิงชินกลับมามีสีหน้าเยือกเย็นดังเดิมแล้ว
ทุกคนต่างก็รอคอยแผนการขั้นต่อไปจากหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัว ก็พบเข้ากับปีศาจเสี่ยวอู๋ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก พร้อมด้วยลูกสมุนนับถือสิบที่ยืนตระหง่านไม่ต่างไปจากรูปปั้นหิน
“ท่านเสี่ยวอู๋ ข้าต้องการห้องลับสำหรับฝึกวิชาสักห้อง”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหาและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
แม้ว่าเสี่ยวอู๋จะเกลียดชังหลินเป่ยเฉิน แต่มันก็ปฏิบัติตามคำสั่งของนายน้อยอวี้เหวินซิวเซียนอย่างเคร่งครัด จึงต้องตกปากรับคำหลินเป่ยเฉินโดยไม่มีข้อแม้
“พวกท่านเข้าไปรอข้าก่อนเถอะ”
หลินเป่ยเฉินบอกให้นักพรตหญิงชิน เซียวปิงและคนอื่น ๆ เข้าไปรอตนเองอยู่ในห้องขังที่อยู่ด้านข้าง หลังจากนั้น จึงเดินตรงเข้าไปหาหลิวอู่เหยียนพร้อมกับยิ้มกว้าง
บัดนี้ การประชุมระหว่างสิบเอ็ดสำนักใหญ่ได้จบลงแล้ว
กลุ่มเจ้าสำนักล้วนมีความคิดเห็นตรงกันว่า สิ่งสำคัญสูงสุดในขณะนี้คือโน้มน้าวใจให้หลินเป่ยเฉินเข้าร่วมการประลองให้ได้
“ก็ไม่ใช่ว่าข้าน้อยจะไม่เข้าร่วมหรอกขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “แต่ข้าน้อยมีข้อเสนอ”
“พวกเราต้องเป็นตัวแทนเผ่าพันธุ์มนุษย์ ออกไปต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจโดยที่มีชะตากรรมของผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเป็นเดิมพัน เจ้ายังมีหน้ากล้าตั้งข้อเสนออีกหรือ?”
เหออู่ซางหัวหน้าค่ายภูเขาอวิ๋นอู่อดกล่าวออกมาไม่ได้
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่าที่ช่วยตบสั่งสอนเจ้าตัวปัญญาอ่อนผู้นั้นนะขอรับ” หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “มิฉะนั้น ข้ากลัวว่าหากตนเองได้ยินเสียงมันอีก ก็อาจจะเผลอสังหารเจ้าตัวปัญญาอ่อนผู้นั้นโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้”
เหออู่ซางชักสีหน้าด้วยความเดือดดาลใจ “นี่เจ้า…”
หลิวอู่เหยียนและไป๋ลู่ซือพร้อมด้วยเจ้าสำนักคนอื่น ๆ รีบเข้ามาห้ามศึกและชักชวนบุรุษต่างวัยทั้งสองคนไปพูดคุยกันในที่ลับสายตาคน
“น้องหลิน เจ้ามีข้อเสนอว่าอย่างไร?”
หลิวอู่เหยียนถามออกมาในที่สุด
“ข้อเสนอของข้าก็คือทั้งสิบเอ็ดสำนักใหญ่ต้องส่งสำเนาคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ระดับสูงสุดของตนเองมาให้ข้า พร้อมด้วยเงินอีกหนึ่งแสนตำลึง และเมล็ดพืชสมุนไพรวิเศษไม่ต่ำกว่าระดับ 5 อีกสิบเอ็ดชนิด…”
หลินเป่ยเฉินบอกข้อเสนอของตนเองออกมา
สีหน้าของบรรดาท่านเจ้าสำนักแปรเปลี่ยนไปทันที
นี่คือข้อเสนอที่ขูดรีดผู้คนจนเกินไป
เรื่องเงินทองและเมล็ดพืชสมุนไพรวิเศษไม่ใช่ปัญหา
ปัญหาคือคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ระดับสูงของสิบเอ็ดสำนักใหญ่นั้น ไม่เคยมีการคัดสำเนาส่งมอบให้แก่บุคคลภายนอกมาก่อน
แม้กระทั่งหลิวอู่เหยียนก็ยังมีสีหน้าลังเลใจขึ้นมาแล้ว
“ข้อเสนอของข้าคำไหนคำนั้น ไม่สามารถต่อรองได้เด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ลองกลับไปปรึกษากันดูนะขอรับ ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องเอาเวลาไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการประลอง ข้าจะให้พวกท่านได้มีเวลาคิดหนึ่งชั่วยาม หลังจากนั้น ก็แจ้งมาแล้วกันว่าพวกท่านตัดสินใจอย่างไร”
กล่าวจบ เขาก็กวักมือเรียกผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนกับผู้อาวุโสหนงซัว “พวกท่านสองคนมากับข้า”
ผู้ถูกเรียกทั้งสองท่านสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหน้าหลิวอู่เหยียนอย่างขอความคิดเห็น เมื่อเห็นว่าชายชราผู้เป็นเจ้าสำนักผงกศีรษะอนุญาต ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนกับผู้อาวุโสหนงซัวจึงติดตามหลินเป่ยเฉินเข้าไปสู่ด้านใน ‘ห้องลับ’ ที่อยู่ด้านข้างอุโมงค์ใต้ดินโดยทันที
บรรดาท่านเจ้าสำนักที่เหลืออยู่ในอุโมงค์ใต้ดินหันมองหน้ากันด้วยความโกรธแค้น
“ยโสโอหังมากเกินไปแล้ว”
“ตนเองก็เป็นมนุษย์แท้ ๆ สมควรต่อสู้เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันไม่ใช่หรือ? นี่มีอย่างที่ไหน ถึงกับยื่นข้อเสนอขูดเลือดขูดเนื้อผู้คน ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว”
“เขาต้องการจะทำลายสำนักของพวกเราชัด ๆ”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหากไม่มีเด็กผู้นี้ เราจะชนะการประลองไม่ได้”
หลายคนคำรามด้วยความเดือดดาล ระบายความรู้สึกไม่พอใจออกมา
สำหรับการกระทำของหลินเป่ยเฉิน กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ล้วนเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เด็กหนุ่มไม่ควรหาผลประโยชน์จากสถานการณ์นี้เลย เพราะมันมีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงเท่านั้น