เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1590 ต้องเพิ่มเงิน
ตอนที่ 1,590 ต้องเพิ่มเงิน
“เป็นท่านเองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมา
“ไม่ใช่สักหน่อย…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เขาเกือบเชื่อแล้วนะเนี่ย
ตู้ม!
คลื่นพลังจากฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายระเบิดตัวออกมาพร้อมกัน
ร่างของทั้งสองจึงถอยหลังออกห่างกัน
ในเวลานี้ หลินเป่ยเฉินเข้าใจแล้วว่าตอนที่เห็นมือของภูตอเวจียื่นออกมาจากใต้เสื้อคลุมสีม่วงก่อนที่จะจัดการหลิวอู่เหยียนนั้น ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
ก็เพราะว่ามันเป็นมือของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
ครั้งนี้นางกลัวว่าจะพลั้งมือฆ่าหลินเป่ยเฉินจนตาย
จึงเก็บแรงเอาไว้หลายส่วน
ถือว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงดูถูกผู้คนเป็นอย่างยิ่ง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นางได้รับบาดเจ็บจากพลังปราณระดับจอมปีศาจศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในแขนซ้ายของหลินเป่ยเฉิน
หลังจากนั้น เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจึงเริ่มเอาจริงขึ้นมาบ้าง
แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรหลินเป่ยเฉินได้อยู่ดี
ตุบ! ตุบ!
ร่างของคู่ประลองทั้งสองยืนหยัดอยู่บนเวทีด้วยความมั่นคง
สีม่วงเหลื่อมทองบนผิวกายของหลินเป่ยเฉินจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ในทางกลับกัน ผิวกายของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงปกคลุมไปด้วยสีม่วงเข้ม แม้แต่ใบหน้าที่สวยงามนั้นก็ไม่มียกเว้น
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ในความคิดของหลินเป่ยเฉิน บัดนี้ เขากำลังนึกถึงเรื่องราวหลายอย่างที่ตนเองมองข้ามมาโดยตลอด และสิ่งที่เขาเคยสงสัย ก็ได้รับคำตอบในขณะนี้เอง
ดูจากประสบการณ์ที่ช่ำชองของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง นางน่าจะเป็นผู้คนของแดนมหาแผ่นดินแน่ ๆ
แต่เทพธิดาสาวไม่เคยกล่าวถึงเลยว่าตนเองมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็สะดุดใจว่าเพราะเหตุใดกันนะ นางถึงต้องอพยพจากที่นี่ไปอยู่ที่ดินแดนทวยเทพ?
เท่าที่จำได้คร่าว ๆ ดูเหมือนเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะเคยเล่าให้หลินเป่ยเฉินฟังว่านางต้องหลบหนีอะไรบางอย่าง
นางกำลังหลบหนีใครกันแน่?
นั่นคือสิ่งที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่เคยพูดออกมาเลย
และทันทีที่มาถึงเมืองชิงอวี้ การตรวจสอบระดับสายเลือดของนางก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนผิดปกติ
อวี้อู๋เฉียนเคยบอกว่าสายเลือดขั้นกากเดนนั้นหาได้ยากมากไม่ต่างไปจากสายเลือดขั้นจักรพรรดิ
แต่ในเวลานั้นไม่มีผู้ใดสนใจ
แต่หากว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ล่ะ?
ไม่เคยมีใครนึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้มาก่อน
หลังจากนั้น เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ และกลับบ้านเมื่อตอนมืดค่ำ ไม่มีผู้ใดทราบว่านางออกไปทำอะไร ตอนแรกที่หลินเป่ยเฉินได้รับทราบข่าวว่าบรรดาผู้อาวุโสในสำนักกระบี่เหินฟ้าถูกปล้น เขาก็คิดว่าต้องเป็นฝีมือของนางแน่ ๆ แต่ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น…
หลินเป่ยเฉินต้องการใช้เงินเพื่อนำมาซื้ออาวุธในโทรศัพท์มือถือ
แล้วเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงต้องการนำเงินไปทำอะไร?
โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ นางบอกว่านางกำลังทำงานหาเงิน แต่มีผู้ใดทราบบ้างว่าจริง ๆ แล้ว เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินยังคงสงสัยอยู่ไม่เสื่อมคลาย
ประชาชนในอาณาจักรหลิวเยวียนใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขตลอดมา แต่เหตุไฉนทันทีที่พวกเขามาถึงเมืองชิงอวี้ กองทัพปีศาจก็ปรากฏตัวออกมาได้อย่างถูกจังหวะเหลือเกิน?
บางทีมันอาจเป็นเรื่องบังเอิญ
แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญล่ะ?
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกตะขิดตะขวงใจมากเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ทันใดนั้น เขาก็เกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย
บางทีเขาอาจไม่เคยรู้จักนางจริง ๆ เลยก็ได้
เด็กหนุ่มรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาพอสมควร
ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ
แต่เป็นความโกรธที่ถูกปิดบังความจริง
ความโกรธชนิดนี้แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอื่น ๆ อีกมากมาย
น่าเจ็บใจชะมัด!
หัวใจเหมือนถูกคมมีดกรีดแทง
สายลมโชยพัดในอากาศ
สายตาของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องมองมาที่พวกเขาทั้งสองคน
หลายคนแทบลืมหายใจไปแล้วด้วยซ้ำ พวกเขาเพียงอยากรู้ว่าผลของการประลองระหว่างบุคคลทั้งสอง ผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะกันแน่
“ฝ่ามือของเจ้า ดูเหมือนว่าข้าจะรับได้โดยไม่มีปัญหา”
หลินเป่ยเฉินรีบนำชุดเกราะอมตะมาสวมใส่บนร่างกายและกล่าวว่า “ภูตอเวจี เจ้าจะทำตามที่สัญญาไว้หรือไม่?”
ในเวลาเดียวกันนี้
ร่างกายของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมีเปลวไฟสีม่วงลุกโชน จึงทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นใบหน้าหรือรูปร่างที่แท้จริงของนางได้อีก
“ภายในสามวันต่อจากนี้ พวกเราเผ่าพันธุ์ปีศาจจะถอนกำลังออกไปจากเมืองชิงอวี้ ไม่ทราบว่าคุณชายหลินพอใจในคำตอบของข้าแล้วหรือไม่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบรับกลับมาอย่างง่ายดาย
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่านางจะให้ความร่วมมือง่ายดายถึงเพียงนี้
เขาอยากจะถามเรื่องอื่น…
แต่ทันใดนั้น เสียงของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ดังกังวานไปทั่วแผ่นฟ้าด้วยการถามหลินเป่ยเฉินว่า “ข้าเพียงแต่สงสัย เมื่อสักครู่นี้ท่านใช้พลังปราณปีศาจ ตกลงว่าท่านเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือเผ่าพันธุ์ปีศาจกันแน่?”
ว่าแล้วเชียว!
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่ใช่คนดีจริง ๆ ด้วย!!
หลินเป่ยเฉินกำลังจะอธิบาย
แต่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่เปิดโอกาสให้เขาได้อธิบายแม้แต่น้อย ร่างของนางพุ่งเป็นลำแสงสีม่วง หายวับไปทางเส้นขอบฟ้าด้วยความรวดเร็วยิ่งนัก
บนยอดเขาเซินปี๋ อวี้เหวินซิวเซียนก็ถอนหายใจและหมุนตัวเดินจากไปเช่นกัน
กลุ่มปีศาจที่รวมตัวกันอยู่ตามยอดเขาต่าง ๆ อีกสี่แห่งล้วนตกอยู่ในความเงียบงันเนิ่นนาน
จบสิ้นแล้ว
การประลองระหว่างสองเผ่าพันธุ์จบลงเช่นนี้เอง
หลินเป่ยเฉินยืนหยัดอยู่ที่เดิม ขณะเดียวกันก็อดรู้สึกเหลือเชื่อไม่ได้
เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังก้องกังวานไปทั่วภูเขาอวิ๋นเจวี่ยน และมันก็กลายเป็นคลื่นเสียงที่ดังสะท้อนไปทั่วยอดเขาทั้งหลายราวกับท่อน้ำแตก…
อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าการฟื้นคืนชีวิตจากสถานการณ์ที่หมดหวัง?
ย่อมต้องเป็นเหตุการณ์ครั้งนี้เอง
ผู้ใดที่ช่วยกอบกู้สถานการณ์ของพวกเขา?
ย่อมต้องเป็นหลินเป่ยเฉิน
เจ้าสำนักทั้งหลายรีบลุกขึ้นแสดงความเคารพต่อหลินเป่ยเฉิน… ไม่ใช่เพียงก้มศีรษะประสานมือคำนับเท่านั้น แต่บางคนถึงกับคุกเข่าลงคำนับหลินเป่ยเฉินจากใจจริง
ผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เสียชีวิตไปหมดสิ้นแล้วในการต่อสู้ที่ผ่านมา
ได้เวลาที่คนรุ่นใหม่จะขึ้นมาแทนที่
และภาพเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ถูกถ่ายทอดสดไปทั่วเมืองชิงอวี้ กลุ่มคนที่รับชมการประลองผ่านการถ่ายทอดสดก็ถึงกับคุกเข่าลงคำนับหลินเป่ยเฉินผ่านทางหน้าจอเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินยังคงยืนอยู่บนเวทีประลอง
เสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ
ชุดเกราะสีขาวราวกับแกะสลักขึ้นมาจากแผ่นหยกขาว
รูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียบเคียง
นับจากวันนี้ไป เขาคือผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองนี้โดยสมบูรณ์
แต่ที่เห็นนิ่งเงียบไม่แสดงอาการตอบรับใดๆ ไม่ใช่ว่าหลินเป่ยเฉินไม่อยากจะแสดงตัวออกหน้าออกตามากเกินไป
แต่เป็นเพราะเด็กหนุ่มกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ต่างหาก
การที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยอมร่วมมือกับเขาง่ายดายถึงเพียงนี้ ย่อมสามารถอธิบายได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า…
นางมีเจตนาตั้งใจพ่ายแพ้และนำกองทัพปีศาจกลับออกไปจากเมืองชิงอวี้อยู่แล้ว
เพื่อรักษาภาพลักษณ์?
หรือเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยังมีแผนการอื่นอยู่อีก?
หลินเป่ยเฉินคิดไปคิดมาก็นำโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดวีแชต ส่งข้อความไปถามว่า ‘ท่านยังติดค้างคำอธิบายกับข้าอยู่นะ’
‘เจ้ามีเส้นทางของเจ้า ข้าก็มีเส้นทางของข้า’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบข้อความกลับมาอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินพิมพ์ตอบกลับไป ‘เอาที่มันเข้าใจง่าย ๆ หน่อยสิ’
‘คืนพรุ่งนี้ยามดึกสงัด มาพบกับข้าบนยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาอวิ๋นเจวี่ยน นำสุรามาด้วย’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่งข้อความตอบกลับมาอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิดเล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจตอบไปว่า ‘รับทราบ’
ทันใดนั้น ผู้คนก็วิ่งเข้ามาถึงข้างกายเขาแล้ว
นำหน้ามาโดยพวกของเซียวปิง หวังจงและคนอื่น ๆ
แม้แต่บรรดาเจ้าสำนักหรือผู้อาวุโสใหญ่จากสำนักต่าง ๆ ก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน
“พวกเราชนะแล้ว พวกเราชนะแล้ว”
“คุณชายหลิน คุณชายหลิน…”
“นับจากนี้เป็นต้นไป คุณชายหลินคือผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงอวี้”
เสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นรอบกายหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงลง
แล้วเสียงแห่งความวุ่นวายก็สงบลงโดยทันที
ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน
“ทุกท่านโปรดทราบ…”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ราคาที่พวกเราตกลงกันเอาไว้เมื่อสามวันที่แล้ว เป็นราคาสำหรับการที่ข้าจะเข้าร่วมการประลองแค่รอบเดียวเท่านั้น แต่นี่ข้าต้องประลองถึงสองรอบ เพราะฉะนั้น… พวกท่านต้องเพิ่มเงินนะขอรับ!”