เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1595 การพิจารณาคดี
ตอนที่ 1,595 การพิจารณาคดี
หลินเป่ยเฉินดูออกว่านางไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลมากเกินไป เเละเขาก็เข้าใจความหมายโดยรวมแล้ว
“หากเป็นเช่นนั้น…”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างอยู่เล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “ข้าจะมอบใบไม้คืนวิญญาณให้เจ้าสิบใบ หากเจ้าสามารถนำไปหลอมรวมเป็นโอสถชุบวิญญาณได้สำเร็จ เจ้าต้องนำโอสถนั้นมาให้ข้าสามเม็ด เข้าใจหรือไม่?”
ครั้งนี้ เด็กสาวพยักหน้าตอบรับโดยไม่ลังเล
เมื่อหลินเป่ยเฉินพลิกฝ่ามือ ใบไม้คืนวิญญาณสิบใบก็มาปรากฏอยู่บนฝ่ามือของเขา
เด็กสาวถึงกับชะงักไปเล็กน้อย “คุณชายสามารถเพาะใบไม้คืนวิญญาณได้ด้วยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ก่อนจะตอบ “ใช่แล้ว”
เด็กสาวพลันมีสีหน้าสับสน นางรับใบไม้คืนวิญญาณทั้งสิบใบนั้นไปพร้อมกับก้มศีรษะคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความนอบน้อม หลังจากนั้นจึงหันไปพยักหน้ากับน้องชายและพากันเดินลงไปจากยอดเขาหลิวหลี่ทันที
หลินเป่ยเฉินไม่ได้รั้งพวกนางเอาไว้
สองพี่น้องคู่นี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาไม่จำเป็นต้องห่วงความปลอดภัยของพวกนาง
ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
หวังจงเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้ามา
“นายน้อยขอรับ ท่านข้าหลวงใหญ่ได้ส่งผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนเป็นตัวแทนมาเข้าพบนายน้อยขอรับ”
หวังจงรายงาน
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้าและกล่าวว่า “ให้ผู้อาวุโสอวี้เข้ามาเถอะ”
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างเร่งร้อน
“คุณชายหลิน เรื่องราวย่ำแย่แล้ว ท่านกำลังพบเจอปัญหาใหญ่”
อวี้อู๋เฉียนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าวิตกกังวล “มีผู้คนบางส่วนไปใส่ร้ายป้ายสีท่านต่อหน้าขุนนางใหญ่เหยียนอวี้หลง กล่าวหาว่าท่านใช้พลังปราณปีศาจ บัดนี้ กลุ่มเจ้าสำนักและผู้อาวุโสใหญ่ทั้งหลายต่างก็ไปรวมตัวกันตามคำสั่ง และท่านข้าหลวงใหญ่ก็มีคำสั่งเชิญตัวคุณชายไปเข้ารับการไต่สวนพิจารณาคดีที่สำนักกระบี่เหินฟ้า”
หลินเป่ยเฉินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยขณะถามกลับไป “ไต่สวนพิจารณาคดี? เล่นใหญ่เล่นโตกันเหลือเกิน”
“คุณชาย นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสบายใจได้อีกแล้วนะ”
อวี้อู๋เฉียนกล่าวด้วยความวิตกกังวลสุดขีด “มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล อยู่ดี ๆ ข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงก็คิดอยากเล่นงานท่าน เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องมีค่ายภูเขาอวิ๋นอู่กับสำนักดาบทมิฬคอยยุแยงอยู่แน่นอน บัดนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าช่วยเหลือท่านอีกแล้ว…”
“คุณชายหลิน ข้ามาที่นี่เพื่อแจ้งข้อมูลทั้งหมดให้ท่านได้ทราบ… ท่านอย่าได้ไปตามคำเชิญเลย จงรีบหลบหนีไปเมื่อยังมีโอกาสเสียเถอะ รอให้ลมฝนสงบลงเมื่อไหร่ค่อยกลับมาที่นี่อีกครั้งก็ยังไม่สาย”
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะตอบว่า “ข้าเองก็อยากไปจากที่นี่อยู่เช่นกัน”
อวี้อู๋เฉียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ก่อนที่จะได้ยินเสียงเด็กหนุ่มกล่าวต่อไป “แต่ข้าไม่ได้อยากจากไปในรูปแบบนี้”
…
ผู้คนเดินทางมาถึงยอดเขาเจียนล่ายอย่างต่อเนื่อง
ในลานหินนอกห้องโถงพิจารณาคดี เจ้าสำนักทั้งหลายต่างก็มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ท่านขุนนางใหญ่เหยียนอวี้หลงเรียกรวมตัวผู้ที่มีชื่อเสียงประจำเมืองชิงอวี้ให้มาเข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีของหลินเป่ยเฉินเป็นจำนวนมาก
บรรยากาศตึงเครียด
ผู้คนที่รวมตัวอยู่ในลานหินต่างก็พูดคุยซุบซิบกันตลอดเวลาและเฝ้ารอคอยให้บุคคลสำคัญของทั้งสองฝ่ายปรากฏตัวออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้เอง
เหยียนซานซิงหัวหน้าสำนักดาบทมิฬก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องโถงพิจารณาคดีแล้ว
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ข้าจะบอกหลักฐานสำคัญให้พวกท่านได้ทราบ หลักฐานที่ยืนยันว่าหลินเป่ยเฉินเป็นพวกเดียวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจก็คือ ฝ่ามือซ้ายของเขาเป็นสีม่วง และในฝ่ามือข้างนี้ก็เต็มไปด้วยพลังปราณปีศาจ ข้าขอรับรองด้วยชีวิตของตนเองว่าสิ่งที่ข้าพูดออกไปนั้นคือความจริง”
เหยียนซานซิงพูดด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“ถูกต้อง ข้าได้แอบบันทึกภาพเอาไว้แล้ว มันคือหลักฐานที่จะพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่าง”
นักบวชสวีจิงแห่งวิหารซั่วหูพยายามเติมเชื้อไฟ สร้างมลทินให้แก่หลินเป่ยเฉิน “ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ภูตอเวจีที่เป็นคู่ต่อสู้กับหลินเป่ยเฉินก็ยังอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่า เขาเป็นมนุษย์หรือเป็นปีศาจกันแน่ เรื่องราวเหล่านี้ทุกท่านคงพอจะได้ยินมาบ้าง ส่วนภาพที่ข้าได้บันทึกเอาไว้นั้น ข้าได้ทำสำเนาลงบนศิลาบันทึกภาพและแจกจ่ายอยู่ที่ด้านนอกแล้ว ทุกท่านสามารถไปหยิบมารับชมได้ตามสะดวก”
สำหรับชายชราทั้งสองคน นี่คือไพ่ตายใบสุดท้ายของพวกเขา
ก่อนเริ่มการประลองระหว่างสองเผ่าพันธุ์ พวกเขามีเรื่องขัดแย้งกับหลินเป่ยเฉินและรับทราบดีว่าตนเองคงไม่ใช่คู่ต่อกรของเด็กหนุ่ม ดังนั้นเหยียนซานซิงกับนักบวชสวีจิงจึงอยากจะยืมมือท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงสังหารหลินเป่ยเฉินไปเสียให้พ้นทาง
เหยียนอวี้หลงพยักหน้าและยิ้มแย้ม กล่าวว่า “ประเสริฐ คำให้การของพวกท่านช่างมีประโยชน์ยิ่งนัก เรื่องราวต่อจากนี้ก็ง่ายดายขึ้นแล้ว พวกท่านวางใจเถอะ อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยาม คนร้ายผู้นี้จะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม… ขอเชิญทั้งสองท่านกลับไปนั่งรอที่ด้านนอกก่อน”
เหยียนซานซิงกับนักบวชสวีจิงพร้อมใจกันประสานมือคำนับท่านข้าหลวงใหญ่ด้วยความเคารพก่อนจะหมุนตัวเดินออกมาจากห้องไต่สวนพิจารณาคดี
รอยยิ้มบนใบหน้าเหยียนอวี้หลงหายวับไปโดยทันที
“หัวหน้าองครักษ์อวิ้น ทุกอย่างจัดการตามแผนแล้วหรือไม่?”
ขุนนางร่างอ้วนหันหน้าไปสอบถาม
“กราบเรียนท่านขุนนางใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างบนเรือเหาะหยางเว่ยได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว รอจนวันนี้เราสังหารหลินเป่ยเฉินเสร็จสิ้น เราก็น่าจะได้รับเงินบริจาคเป็นจำนวนมหาศาล เมื่อได้จำนวนเงินครบถ้วนตามต้องการ... พวกเราก็สามารถลอยลำออกไปจากเมืองชิงอวี้ได้ทันทีขอรับ”
อวิ้นหงผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มองครักษ์รายงานด้วยความกระตือรือร้น
เหยียนอวี้หลงมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
เรื่องที่บอกว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้คนในเมืองชิงอวี้นั้นล้วนแต่เป็นคำโกหกหมดสิ้น
อันที่จริง เหยียนอวี้หลงมาที่นี่เพื่อหาช่องทางหลบหนีต่างหาก
บัดนี้ อาณาจักรหลิวเยวียนถูกกองทัพปีศาจครอบครองโดยสมบูรณ์ เผ่าพันธุ์มนุษย์กลายเป็นทาสรับใช้ เหยียนอวี้หลงพร้อมด้วยกลุ่มผู้ติดตามสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิด เขาย่อมไม่กล้าเดินทางไปยังพื้นที่ซึ่งยังมีกองทัพปีศาจหลงเหลืออยู่ ก็ประจวบเหมาะกับได้รับทราบข่าวว่ากองทัพปีศาจเพิ่งถอนกำลังกลับออกไปจากเมืองชิงอวี้ เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขาไปโดยปริยาย
หลังจากได้รับทราบเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปทั้งหมด เหยียนอวี้หลงก็ใช้อำนาจของความเป็นข้าหลวงใหญ่ของตนเองพักอยู่ที่นี่เพื่อรวบรวมทรัพยากรสิ่งของมีค่าผ่านการรับบริจาค เมื่อได้ครบจำนวนที่ตนเองต้องการแล้ว เหยียนอวี้หลงและพรรคพวกก็จะหลบหนีออกไปจากที่นี่ทันที
แผนการเดิมที่วางเอาไว้ก็คือเขาจะอาศัยภาพลักษณ์วีรบุรุษประจำเมืองของหลินเป่ยเฉินช่วยให้การระดมทุนรับบริจาคเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินกลับไม่ให้ความร่วมมือ
เหยียนอวี้หลงอุตส่าห์เดินทางไปหาถึงที่ แต่เด็กหนุ่มกลับปฏิเสธหน้าตาเฉย
แล้วจะให้เหยียนอวี้หลงทนอยู่เฉยได้อย่างไร?
โชคดีที่หลินเป่ยเฉินเป็นเด็กหนุ่มซึ่งมีความยโสโอหังมากเกินไป เขาเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานจึงทำตัวแข็งกร้าวต่อผู้คน… นับว่ายังไร้เดียงสามากเกินไปนัก
สำหรับผู้คนอย่างเหยียนอวี้หลงถือเป็นเสือเฒ่าเจ้าเล่ห์ เขามีวิธีเป็นหมื่นวิธีที่จะสามารถเอาคืนหลินเป่ยเฉินได้อย่างเจ็บแสบหลายร้อยพันเท่า
ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
อาศัยการปล่อยข่าวลือเพียงไม่กี่วัน กระแสความนิยมภายในเมืองชิงอวี้ก็เปลี่ยนไป
วีรบุรุษหลินเป่ยเฉินกลายเป็นปีศาจหลินเป่ยเฉิน
และการพิจารณาคดีในวันนี้ก็คือการลงดาบขั้นสุดท้าย
เหยียนอวี้หลงลอบส่งคนไปเฝ้าระวังอยู่ที่ยอดเขาหลิวหลี่ ไม่เปิดโอกาสให้หลินเป่ยเฉินได้หลบหนีไป
เมื่อการพิจารณาคดีหลินเป่ยเฉินจบสิ้นลง ภาพลักษณ์ของเหยียนอวี้หลงก็จะมีความสูงส่งมากขึ้น เงินบริจาคก็จะไหลมาเทมา
หลังจากนั้น สิ่งที่เหยียนอวี้หลงต้องทำก็แค่หอบเงินหลบหนีไปเท่านั้นเอง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มก็กลับมาปรากฏบนใบหน้าเหยียนอวี้หลงอีกครั้ง
จังหวะนั้น องครักษ์คนหนึ่งรีบเดินเข้ามาคุกเข่าข้างเดียวรายงานว่า “กราบเรียนท่านข้าหลวงใหญ่ หลินเป่ยเฉินมาถึงแล้วขอรับ บัดนี้เขากำลังอยู่ที่ลานหินด้านหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้า”
“ฮ่า ๆๆ ประเสริฐ มาได้เวลาพอดี”
ท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงหัวเราะด้วยความดีใจ ก่อนจะก้าวเดินออกมาจากห้องพิจารณาคดีพร้อมด้วยกลุ่มองครักษ์ของตนเอง