เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 160 สถานการณ์พลิกผัน (ภาคต้น)
บทที่ 160 สถานการณ์พลิกผัน (ภาคต้น)
พานเว่ยหมินกับฉู่เหินไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หัวหน้าอาจารย์ทั้งสองคนต่างก็อยากรู้ว่าลูกศิษย์ทั้งสี่จะตอบรับอย่างไร
แน่นอนว่าฮันปู้ฟู่ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ส่งเสียงขึ้นเป็นคนแรก “ในฐานะมือกระบี่ เราเพียงทำสิ่งที่สมควรทำเท่านั้น พวกเราศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม ไม่ต้องการสิ่งใดจากท่าน”
เยว่หงเซียงก็ปฏิเสธด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ไป๋ชินหยุนมีนิสัยเป็นเด็กน้อยไม่ค่อยรักษามารยาท แต่ครั้งนี้ นางก็ปฏิเสธด้วยความอ่อนโยน
มีเพียงหลินเป่ยเฉินที่จ้องมองถุงใส่แก่นลมปราณตาเป็นมัน
แต่ในเมื่อเพื่อนร่วมสถาบันทั้ง 3 คนปฏิเสธเสียงแข็ง ต่อให้เขาอยากได้สักเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ทำได้เพียงจำใจปฏิเสธกลับไปเท่านั้น โดยไม่ลืมตกแต่งประโยคให้ดูหล่อเหลามากขึ้นว่า “มือกระบี่ที่แท้จริง ไม่เคยช่วยเหลือผู้ใดโดยหวังสิ่งตอบแทนอยู่แล้วขอรับ”
เฟิงซือเหนียงคะยั้นคะยอให้พวกเขารับของตอบแทนอยู่หลายครั้ง จนสุดท้ายนางก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ
“พี่ชาย ของสิ่งนี้ข้ามอบให้แก่ท่าน”
เสี่ยวหลิงพลันยื่นหุ่นไล่กาตัวเล็กที่ถักขึ้นจากหญ้าฟาง ส่งให้หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเศร้าหมอง “บัดนี้ ข้าให้ท่านได้เพียงของเล่นเท่านั้น…ข้าได้เห็นท่านสั่งสอนบิดาผู้ร้ายกาจ แต่ขอร้องท่านอย่าทำอะไรมารดาของข้าเลย ท่านแม่เป็นคนดี ไม่ใช่ตัวชั่วร้ายเหมือนบิดา หลิงเอ๋อร์ต้องขอร้องพี่ชายแล้ว”
สั่งสอนบิดาผู้ร้ายกาจ?
หลินเป่ยเฉินตะลึงลานวูบ
เด็กหญิงคงเห็นตอนที่เขาลงมือซ้อมโจวเฉิงโดยบังเอิญ
เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก
ภาพเหตุการณ์นี้คงจำฝังใจเด็กหญิงไปตลอดชีวิต
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็พลันไม่รู้สึกเสียดายอีกแล้วที่ปล่อยให้โจวเฉิงหนีรอดไปได้ อย่างน้อย ก็นับว่าเขาตัดสินใจได้ถูกที่ถูกเวลา
ลองนึกดูซิว่าเสี่ยวหลิงจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเห็นเขาแทงกระบี่สังหารโจวเฉิงต่อหน้าต่อตา…
คงกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ทีเดียว
ไป๋ชินหยุนพลันหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาปลาบปลื้ม
“ขอบคุณมาก สาวน้อย” หลินเป่ยเฉินรับหุ่นไล่กามาถือเอาไว้ แล้วกล่าวว่า “พี่ชายสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายแม่เจ้าเด็ดขาด”
“ขอบคุณพี่ชาย ขอบคุณพี่ชายจริงๆ” เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
เฟิงซือเหนียงเองก็ขอบคุณพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะนำบุตรสาวกลับที่พักไปในที่สุด
หลังจากนั้นไม่นาน
ก็มีคนมาเข้าพบพวกเขาอีกครั้ง
แต่คราวนี้เป็นเด็กสาวอายุ 16 – 17 ปี ซึ่งเคยพบกับพวกหลินเป่ยเฉินตอนตั้งค่ายพักริมน้ำ นางเดินนำเด็กหญิงกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยของกำนัลจำนวนมากมาย
สิ่งของเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นเครื่องดื่มของกินเล่น รวมถึงเนื้อสัตว์ตากแห้ง ผลไม้ตากแห้ง มอบให้แก่คณะศิษย์อาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม โดยสิ่งของเหล่านี้นั้น สมาชิกของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟจัดทำขึ้นมาด้วยตัวเอง จึงมีความสะอาดและรสชาติอร่อยไม่เหมือนใคร
“เห็นพวกท่านปฏิเสธของกำนัลจากนายหญิง พวกเราจึงรู้สึกไม่สบายใจ อย่างน้อยก็ให้พวกเราได้ตอบแทนอะไรบ้างเถิด อย่าได้ปฏิเสธของเหล่านี้จากพวกเราเลยนะเจ้าคะ”
เด็กสาวกล่าวด้วยใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง
นางมีอายุมากกว่าหลินเป่ยเฉินไม่กี่ปีเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นางสมควรได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสถาบันเดียวกับพวกเขา
แต่ด้วยความที่เกิดมายากจน ไม่มีเงินพอจะเป็นค่าเล่าเรียน ต่อให้มีพรสวรรค์ในการฝึกวิทยายุทธ์ขนาดไหน เด็กสาวกลับไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วยซ้ำ และมีแต่ต้องเข้าร่วมสำนักล่าอสูร เพื่อหาเลี้ยงปากท้องของตนเองให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป
ไม่มีใครทราบเลยว่าเด็กสาวผู้นี้มีความฝันอยากเป็นอะไร?
จึงไม่น่าแปลกใจยามที่นางจ้องมองพวกของหลินเป่ยเฉิน ในดวงตาจะปรากฏความอิจฉาในบุญวาสนาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
จักรวรรดิเป่ยไห่ให้ความสำคัญกับการศึกษามากที่สุด แต่ก็มีคนยากจนอีกจำนวนมากมายที่ไม่สามารถส่งบุตรหลานเข้าเล่าเรียนหนังสือได้ การได้สวมใส่ชุดเครื่องแบบศิษย์สถานศึกษากระบี่ในตัวเมือง ล้วนเป็นความฝันอันสูงสุดของเด็กหนุ่มเด็กสาวผู้ยากจนแทบทั้งสิ้น
“อั้ยย่ะ ท่าทางน่าจะอร่อยเหมือนกันนะเนี่ย ขอบคุณเจ้ามากแล้ว”
ไป๋ชินหยุนดวงตาเป็นประกายแวววาว รับของกำนัลโดยไม่ลังเล
เด็กหญิงหลิงเอ๋อร์ก็ถือถาดเนื้อตากแห้งมาด้วยเช่นกัน นางหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน คลี่ยิ้มซุกซน “พี่ชาย เนื้อแห้งจานนี้ เป็นข้าจัดเตรียมไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ รับรองว่าอร่อยเหาะที่สุดในโลก”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปว่า “พี่ชายกับพี่สาวทั้ง 3 คนนี้ ก็ช่วยเหลือเจ้าเหมือนกันนะ ทำไมถึงเอาของมาให้ข้าแค่คนเดียวล่ะ?”
เด็กหญิงกระพริบตาปริบๆ เหมือนไม่เข้าใจคำถามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “เพราะว่า…พี่ชายหล่อเหลามากที่สุดไง”
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมาพรืดใหญ่
ขนาดเด็ก 4 ขวบยังหลงเสน่ห์เขาเลยหรือนี่?
ไม่ว่าอยู่ในโลกใบไหน การมีหน้าตาหล่อเหลา ก็มักทำให้ได้รับผลประโยชน์มากกว่าผู้อื่นเสมอ
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มด้วยความพอใจ รับเนื้อแห้งจากบนจานมาถือไว้ แล้วพูดว่า “ขอบคุณสาวน้อย พี่ชายจะรับประทานให้หมดเลย”
เมื่อส่งมอบของกำนัลเรียบร้อย เด็กสาวก็พาตัวเสี่ยวหลิงกลับที่พักของพวกนางไป
ในไม่ช้า ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังมาจากค่ายที่พักของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ
ดูเหมือนพวกนางจะดีใจไม่น้อยที่คณะศิษย์อาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามยอมรับของกำนัลเสียที
“สาวๆ กลุ่มนี้ใจดีจังเลยนะ” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลังจากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงขับขานบทเพลงจากที่พักของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟลอยมาตามสายลม มันเป็นท่วงทำนองที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยได้ยินมาก่อน เสียงร้องขับขานแสนเศร้าโศกดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้ายามราตรี ชวนให้เคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศที่รายล้อมด้วยธรรมชาติรอบกาย
หลินเป่ยเฉินยิ่งฟังก็ยิ่งหลงใหล
ไม่ว่าจะอยู่ในโลกใบไหน บทเพลงก็เป็นสิ่งที่ช่วยปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกได้ดีที่สุดเสมอ
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกคิดถึงโลกมนุษย์ขึ้นมาจับใจ
“พวกเรารีบเข้านอนกันดีกว่า” พานเว่ยหมินพลันดับกองไฟที่ก่ออยู่ใจกลางค่ายพัก ออกคำสั่งว่า “พรุ่งนี้จะเป็นการฝึกวันสุดท้าย ถ้าโชคดี อาจารย์จะพาพวกเจ้าไปดูเสือสายฟ้า”
เสือสายฟ้า ได้รับการขนานนามให้เป็นเจ้าป่าแห่งหุบเขาชายแดนเหนือ
มีทั้งความแข็งแกร่งและพลังการโจมตีรุนแรง
ว่ากันว่าแม้แต่ผู้ที่มีพลังขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 2 ก็ยังต้องวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงเมื่อเผชิญหน้ากับเสือสายฟ้า
อสูรร้ายชนิดนี้นอกจากคล่องแคล่วว่องไวแล้ว ยังชำนาญเรื่องการต่อสู้ในระยะประชิดตัว ซ้ำมีพลังปราณธาตุสายฟ้า ช่วยเพิ่มอานุภาพการทำลายล้างอีกหลายเท่า จึงมีนักล่าอสูรและนักเดินทางจำนวนนับไม่ถ้วน ต้องจบชีวิตลงไปเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่อาณาเขตของเสือสายฟ้าโดยไม่รู้ตัว
แต่โชคดีที่เสือสายฟ้าไม่ใช่พวกกระหายเลือด ตราบใดที่ท้องของมันอิ่ม มันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด เป็นเรื่องยากมากที่จะโจมตีมนุษย์โดยไม่มีเหตุผล
“แก่นลมปราณของเสือสายฟ้า เอาไปขายได้ราคาไหมขอรับ?” หลินเป่ยเฉินถามด้วยดวงตาเป็นประกาย มองเห็นเหรียญทองคำกองใหญ่วางอยู่ตรงหน้า
แม้แต่ฉู่เหินก็ยังต้องหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ก่อนตอบ “ได้ราคาสูงทีเดียวเชียวละ ลำพังหนังเสือสายฟ้าก็ขายได้แล้ว 100 เหรียญทองคำ ส่วนแก่นลมปราณของเสือสายฟ้าที่โตเต็มวัยนั้น สามารถขายได้ถึง 700 เหรียญทองคำ และบ่อยครั้งที่ได้ราคาสูงมากกว่านั้น…แต่ข้าขอแนะนำเจ้าล้มเลิกความคิดเสียดีกว่า ด้วยระดับพลังในปัจจุบัน อย่าไปมีเรื่องกับเจ้าป่าแห่งหุบเขาชายแดนเหนือเด็ดขาด เจ้าจะต้องตายโดยไม่ทันได้ร้องขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ”
ไป๋ชินหยุน ฮันปู้ฟู่ กับเยว่หงเซียงหัวเราะออกมาด้วยความตลกขบขัน
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ หลินเป่ยเฉินทุ่มเทกับการล่าอสูร เพราะตั้งใจจะนำสิ่งที่ล่ามาได้ไปแลกเป็นเหรียญทองคำ ดังนั้น เขาจึงมีความมุ่งมั่นมากกว่าทุกคน
เมื่อดับกองไฟใหญ่เรียบร้อย ลูกศิษย์ทั้งสี่ก็เข้ามาพักผ่อนในกระโจมที่พักแรม
ทันทีที่หัวถึงหมอน ไป๋ชินหยุนกับฮันปู้ฟู่ก็ผล็อยหลับไปทันที
หลินเป่ยเฉินกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ พลิกตัวกลับไปกลับมาหลายรอบแล้ว
“ศิษย์พี่หลินยังคิดถึงเรื่องเมื่อกลางวันอยู่อีกหรือเจ้าคะ?” พลัน เสียงของเยว่หงเซียงดังขึ้นจากส่วนลึกของกระโจม
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าตอบว่า “เปล่าหรอก… ข้าแค่มีความรู้สึกว่าเหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำไมถึงยังนอนไม่หลับอีก?”
เยว่หงเซียงตอบว่า “ข้ากำลังนึกทบทวนการต่อสู้ของวันนี้ ในกลุ่มพวกเราทั้งสี่คน นับว่าข้าเป็นตัวถ่วงที่มีฝีมือต่ำต้อยมากที่สุด แต่ศิษย์พี่หลินไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับปากว่าจะตั้งใจพัฒนาฝีมือให้มากกว่านี้”
นับว่าเป็นเด็กสาวที่ขยันขันแข็งเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินประทับใจในนิสัยข้อนี้ของเยว่หงเซียงตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้านางแล้ว
จะเรียกว่านางเป็นเด็กสาวที่เขาประทับใจที่สุดในโลกจอมยุทธ์ก็คงได้
ในขณะที่ทุกคนยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งอันดับหนึ่ง มีแต่เพียงเยว่หงเซียงคนเดียวเท่านั้น ที่ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่านางยังเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา
นางทำให้เขานึกถึงตอนเรียนหนังสืออยู่บนโลกมนุษย์ เขาได้นั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนร่วมห้องซึ่งไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด แต่เป็นคนที่มีความขยันตั้งใจเรียนมากที่สุด
“เจ้าจะต้องเป็นมือกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ได้แน่นอน” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เยว่หงเซียงเหมือนกับเพื่อนร่วมโต๊ะเรียนของเขาไม่มีผิด ในขณะที่คนทั้งห้องแก่งแย่งชิงดีกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งอันดับหนึ่งของโรงเรียน เพราะมันจะมาพร้อมกับโควต้าบรรจุเข้าเรียนมหาวิทยาลัยกฎหมายที่เมืองปักกิ่งโดยอัตโนมัติ
นี่คือความฝันอันสูงสุดของทุกคนในโรงเรียน
แต่มีเพียงผู้ที่ขยันและตั้งใจมากที่สุดเท่านั้น จึงควรค่าต่อการได้ตำแหน่งนั้นไป
“ข้าจะพยายามทำงานหนักให้มากขึ้นเจ้าค่ะ” เยว่หงเซียงตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจากในความมืด
แต่เพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเพื่อนร่วมสถาบันที่กำลังพักผ่อนอีก 2 คน หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ
เวลาเดินไปอย่างเชื่องช้า
หลินเป่ยเฉินเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน
เด็กหนุ่มมาสะดุ้งตื่นอีกครั้งก็ตอนได้ยินเสียงคนตะโกนโหวกเหวกอยู่ด้านนอก
หลังจากนั้น เขาก็ได้ยินพานเว่ยหมินคำรามออกไปว่า “นั่นใครน่ะ? แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้”
เปรี้ยง!
พลัน เกิดเสียงระเบิดลมปราณดังสนั่น
หลินเป่ยเฉินทะลึ่งตัวลุกขึ้น รีบทะยานออกมาจากกระโจมที่พักและถามว่า “อาจารย์พาน เกิดอะไรขึ้นขอรับ…”
เสียงยังไม่ทันจางหาย
ฟ้าว!
ลูกศรดอกหนึ่งก็พุ่งเข้ามาใส่ใบหน้าเขาแล้ว