เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1600 ออกเดินทางไกล
ตอนที่ 1,600 ออกเดินทางไกล
แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มพิศวงมากกว่าเดิมก็คือ แขนซ้ายและมือซ้ายของเขายังเป็นสีม่วงอยู่ก็จริง แต่ในขณะนี้ บางส่วนของแขนและมือกลับปรากฏสีเงินแทรกซึมขึ้นมา
สีเงินเป็นตัวแทนพลังปราณของเหยียนอวี้หลง
ต้องใช่แน่ ๆ
“เหยียนอวี้หลงน่าจะมีพลังสูงส่งไม่เบา คงเอามาใช้ยิงเป็นกระสุนได้อีกนานเลยทีเดียว… ยอดเยี่ยมที่สุด”
หลินเป่ยเฉินรีบนำถุงมือที่เตรียมไว้ออกมาสวมใส่ทันที
หลังจากนั้น เขาก็นำโทรศัพท์ออกมาและเปิดกล้องหน้าเพื่อส่องใบหน้าของตนเอง
นั่นปะไร
เป็นไปตามคาด แถบสีเงินปรากฏขึ้นบริเวณเส้นผมข้างขมับของเขา
ไม่ยุติธรรมเลยแฮะ
ทำไมเวลาดูดกลืนพลังปราณจากผู้อื่น สีผมจึงต้องเปลี่ยนไปด้วยนะ?
ดูเหมือนคงต้องซื้อยาย้อมผมจากแอปเถาเป่าอีกแล้วสิ
มีเรื่องให้ต้องใช้เงินอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน
“พวกเราไปกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนและพาพวกของนักพรตหญิงชินเดินตรงไปที่เรือเหาะหยางเว่ย
บัดนี้ได้เวลาแล้ว
ได้เวลาที่หลินเป่ยเฉินจะออกเดินทางสู่ภพภูมิดาราจักร
มีแต่ต้องออกเดินทางเพื่อผจญภัยเท่านั้น หลินเป่ยเฉินจึงจะสามารถหาวิธีเลื่อนขั้นพลังของตนเองได้สำเร็จ และมีแต่ต้องเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จเท่านั้น เขาจึงสามารถเปิดประตูมิติเพื่อกลับสู่แผ่นดินตงเต้าได้อีกครั้ง
กลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่ในลานจัตุรัสพากันจ้องมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉิน
อารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาสับสน
“หลิน… คุณชายหลิน ได้โปรดอยู่ต่อเถอะขอรับ”
ทันใดนั้น หัวหน้ากลุ่มคนใหญ่คนโตประจำเมืองชิงอวี้ก็วิ่งออกจากกลุ่มผู้คนส่งเสียงตะโกนดังลั่น
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปมอง
“คุณชายหลิน หากท่านไม่อยู่ต่อ ก็ได้โปรดพาพวกเราไปกับท่านด้วย”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นก้มศีรษะขอร้องอ้อนวอน
“ใช่แล้วขอรับ อาณาจักรหลิวเยวียนจบสิ้นแล้ว อีกไม่นานที่นี่ก็คงจบสิ้นเช่นกัน พวกเราจำเป็นต้องรีบหนี เรือเหาะมีแค่ลำนี้เพียงลำเดียว ได้โปรดพาพวกเราไปด้วยเถอะขอรับ”
“พวกเรายินดีจ่ายค่าเดินทาง”
“ใช่แล้วขอรับ ใช่แล้ว พวกเรามีเงิน พวกเรามีทุกอย่างที่คุณชายต้องการ”
ผู้คนอีกจำนวนมากรีบวิ่งออกมาขอร้องอ้อนวอนด้วยความหมดหวัง
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปเสียงเรียบ “ใครบอกว่าข้าจะหลบหนีออกไปจากที่นี่?”
“ถ้าอย่างนั้นคุณชาย…”
หัวหน้ากลุ่มคนใหญ่คนโตหยุดชะงักด้วยความพิศวง
“ข้าตั้งใจจะเดินทางไปที่อาณาจักรหลิวเยวียน เพื่อเข้าร่วมสงครามต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างหาก”
หลินเป่ยเฉินบอกเหตุผลที่แม้แต่ตัวเขาเองก็เชื่อไม่ลงออกไป
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างของเขาเท่านั้น
กลุ่มคนเงียบเสียงลงในทันใด
“เป็นไปไม่ได้ โกหก เจ้าต้องวางแผนหลบหนีไปจากที่นี่แน่ ๆ แต่เจ้าไม่อยากพาพวกเราไปด้วย… เพราะเหตุใด? เรือเหาะลำนี้เป็นความหวังสุดท้ายของพวกเรา ในเมื่อเจ้าเป็นวีรบุรุษแห่งมวลมนุษยชาติ เจ้าจะประพฤติตนเห็นแก่ตัวเช่นนี้ไม่ได้…”
หัวหน้ากลุ่มคนใหญ่คนโตพลันคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
โพละ!
คำตอบที่เขาได้รับคือลำแสงปราณกระบี่คงกระพัน
ศีรษะของหัวหน้ากลุ่มคนระเบิดกระจาย ตัวคนค่อย ๆ ล้มลงบนพื้นดิน
“หลบหนีอย่างนั้นหรือ? โง่เขลาที่สุด ทำไมพวกท่านถึงไม่เข้าใจกันบ้างเลยนะ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นเป่าปลายนิ้วมือของตนเอง
เป็นการกระทำที่ทุกคนเคยชิน
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปว่า “ข้าไม่เคยเป็นคนดีมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ความจริงนั้น ข้าน่ะเลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าเหยียนอวี้หลงเสียอีก... นี่เห็นแก่ว่าพวกเราเป็นมนุษย์ด้วยกันหรอกนะ ถึงปล่อยให้มีชีวิตอยู่รอดกันได้จนถึงขณะนี้น่ะ”
กล่าวจบ เด็กหนุ่มก็หมุนตัวหันกลับไปหน้าตาเฉย
เขาเดินตรงไปที่เรือเหาะหยางเว่ย
ผู้ที่เดินเคียงข้างประกอบไปด้วยนักพรตหญิงชิน หวังจง จักจั่นทองคำ อากวงและเจ้าเสือเสี่ยวหูผู้เป็นลูกเลี้ยงของมัน
เซียวปิงไม่ได้ร่วมเดินทางมาด้วย
เพราะเขาอยากจะตอบแทนบุญคุณของหลิวอู่เหยียนและอยากจะกอบกู้สำนักกระบี่เหินฟ้าให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
องค์ชายเจี้ยนอวี่กับเด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรหลงหน่าก็จะอยู่ที่นี่ต่อไปเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ
ครืน!
เรือเหาะหยางเว่ยก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย ก่อนที่มันจะระเบิดพลังออกมาต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลก แล้วเรือเหาะก็ค่อย ๆ ยกตัวลอยขึ้นไปในอากาศ
“พี่ใหญ่ ดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะขอรับ เมื่อข้าน้อยกอบกู้สำนักกระบี่เหินฟ้าได้สำเร็จ ข้าน้อยจะออกเดินทางไปตามหาท่านที่ภพภูมิดาราจักร”
เซียวปิงโบกมือบ๊ายบายพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
บัดนี้ เด็กหนุ่มร่างอ้วนอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 5 แล้ว และเขาก็ได้รับของขวัญจากหลิวอู่เหยียนเป็นพลังปราณจำนวนมหาศาล เพียงแต่ว่าเซียวปิงต้องค่อย ๆ ใช้เวลาปรับระดับพลังในร่างกาย อีกไม่ช้าก็เร็ว เขาจะต้องขึ้นสู่ขั้นจอมเทพตอนปลายได้แน่นอน
และอีกเหตุผลหนึ่งที่เซียวปิงตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อไป นอกจากจะเพื่อตอบแทนบุญคุณของหลิวอู่เหยียนแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญก็คือเซียวปิงอยากจะสร้างเส้นทางเดินเป็นของตนเอง เพราะเด็กหนุ่มร่างอ้วนไม่อยากจะใช้หลินเป่ยเฉินเป็นที่พึ่งพิงตลอดเวลาอีกแล้ว
เซียวปิงหวังว่าสักวันหนึ่งตนเองจะสามารถต่อสู้เคียงข้างหลินเป่ยเฉินได้อย่างภาคภูมิใจและสมศักดิ์ศรี
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้ติดตามหลินเป่ยเฉินไปอีก
บางทีเหตุผลที่ทำให้องค์ชายเจี้ยนอวี่กับหลงหน่าอยู่ต่อ ก็อาจจะเป็นเพราะหลักการเดียวกันนี้ก็เป็นได้
ฟ้าว!
เมื่อเรือเหาะหยางเว่ยลอยตัวขึ้นไปในอากาศ มันก็พุ่งตัวเป็นลำแสงกลายเป็นจุดเล็ก ๆ สีดำบนท้องฟ้า ก่อนจะหายวับไปจากคลองสายตาในที่สุด
บนลานจัตุรัส ผู้คนที่ยังคงรวมตัวกันอยู่ได้แต่ระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล
“นี่เป็นความผิดของมันคนเดียว”
“ทั้งหมดเป็นเพราะสุนัขตัวนี้…”
“ถ้ามันไม่หลอกลวงผู้คน เหตุการณ์คงไม่ลงเอยเช่นนี้หรอก”
ดังนั้น กลุ่มคนจำนวนมากจึงพุ่งเข้าไปห้อมล้อมศพของเหยียนอวี้หลงและจัดการเหยียบย่ำทุบตีระบายโทสะที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ
…
เรือเหาะสีดำลอยลำผ่านภพภูมิดาราจักรอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าอารยธรรมของพวกผู้ฝึกยุทธ์จะมีวิวัฒนาการล้ำหน้าเกินหน้าเกินตาโลกวิทยาศาสตร์ของเราซะอีก...”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเหาะและกวาดสายตามองรอบตัว
บรรยากาศคล้ายกับอวกาศกว้างใหญ่
รอบกายเต็มไปด้วยความว่างเปล่ายาวไกลสุดลูกหูลูกตา
ดวงดาวจำนวนมากปรากฏตัววิบวับราวกับเป็นกากเพชรบนผืนผ้ากำมะหยี่
ลักษณะการเดินทางของเรือเหาะในภพภูมิดาราจักร เป็นไปในลักษณะเดียวกับการล่องเรือผ่านมหาสมุทร เรือเหาะแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน คือส่วนของดาดฟ้าเรือกับส่วนของห้องพักใต้ท้องเรือ ไม่มีใบเรือและเสากระโดงเรือ หากมองดูด้วยตาเปล่า เรือเหาะลำนี้ก็ไม่ต่างจากเรือพายที่ถูกส่งลงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่อย่างโดดเดี่ยว
แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างก็คือชั้นของม่านพลังโปร่งแสงที่ปกคลุมทั่วดาดฟ้าเรือ มันเป็นม่านพลังที่ช่วยทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนเรือเหาะลำนี้ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปด้วยกฎแรงดึงดูดของโลกและมีอากาศหายใจได้เป็นปกติ
นอกจากจะมีม่านพลังที่ปกคลุมทั่วตัวเรือเหาะแล้ว ม่านพลังเหล่านี้ยังสามารถปรับวิธีใช้ได้อีกหลายรูปแบบ อันประกอบไปด้วยใช้เพื่อการต่อสู้ ใช้เพื่อการหลบหนีและใช้เพื่อการเดินทาง
และด้วยการทำงานของม่านพลังที่ครอบคลุมตัวเรือเหาะอยู่นี้เอง ม่านพลังจึงดูดซับมวลพลังที่อยู่ในอากาศด้านนอกเปลี่ยนมาเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนเรือเหาะไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด
เรือเหาะลำนี้มีความเร็วขนาดไหนน่ะหรือ?
มันมีความเร็วมากกว่าความเร็วเสียงหลายพันเท่า
และด้วยความที่ตัวเรือมีลักษณะเป็นสีดำทมิฬ เรือเหาะหยางเว่ยจึงไม่ต่างจากวาฬตัวใหญ่ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร
“นายท่านขอรับ อีกหนึ่งก้านธูปเราจะถึงจุดทิ้งสมอแล้ว”
กะลาสีเรือวัยกลางคนผู้มีหนวดเครายาวเฟิ้มสวมใส่ชุดเกราะสีดำเดินเข้ามารายงานด้วยเสียงเคารพเลื่อมใส
เรือเหาะประจำตำแหน่งของท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงย่อมไม่ธรรมดา บนเรือเหาะมีลูกเรือยี่สิบหกคน ทุกคนต่างก็เป็นกะลาสีผู้มีประสบการณ์เดินทางโชกโชน พวกเขาจะแบ่งแยกกันออกเป็นสองกะ เพื่อผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันควบคุมเรือเหาะ
ชื่อของกะลาสีเรือหนวดเฟิ้มผู้นี้คือหมิงเซวี่ยเฟิง เขาคือหัวหน้าผู้ควบคุมเรือเหาะหยางเว่ย ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ใต้อาณัติของเหยียนอวี้หลง นับเป็นกะลาสีผู้มีประสบการณ์เดินเรืออย่างยาวนาน และบัดนี้ หมิงเซวี่ยเฟิงก็ได้เปลี่ยนมาทำงานให้แก่หลินเป่ยเฉินเพราะถูกเด็กหนุ่มจับมา ‘เจรจาอย่างมีเหตุและมีผล’ ร่วมกับลูกเรือคนอื่น ๆ ดังนั้น ในขณะนี้จึงไม่มีผู้ใดบนเรือเหาะหยางเว่ยกล้าทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อหลินเป่ยเฉินแม้แต่คนเดียว
“เข้าใจแล้ว ไปเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า