เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1601 จุดทิ้งสมอ
ตอนที่ 1,601 จุดทิ้งสมอ
สำหรับเรือเหาะที่ถูกออกแบบมาเพื่อการขนส่งระหว่างดินแดนนั้น ด้วยความเร็วระดับนี้ก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว
ในภพภูมิดาราจักรจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘จุดทิ้งสมอ’ ซึ่งเป็นเสมือนช่องว่างระหว่างมิติ เมื่อเข้าไปอยู่ในจุดทิ้งสมอแล้ว ประตูมิติก็จะเปิดออก เพื่อนำพาพวกเขาไปสู่จุดหมายปลายทางต่าง ๆ ตามแต่ที่ตัวจุดทิ้งสมอได้กำหนดเอาไว้
นี่คือการเดินทางขั้นพื้นฐานในภพภูมิดาราจักร
และการเดินทางผ่านจุดทิ้งสมอนั้นมักจะก่อให้เกิดแรงกระชากมหาศาล หลินเป่ยเฉินที่ได้รับคำเตือนล่วงหน้า จึงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปอยู่ในห้องพักใต้ท้องเรือ
เรือเหาะหยางเว่ยสั่นสะเทือนเล็กน้อย
เมื่อมาถึงจุดทิ้งสมอ ม่านพลังที่ครอบคลุมทั่วลำเรือก็จะไม่สามารถใช้งานได้อีก หากผู้ใดก็ตามยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือต่อไป คนผู้นั้นก็จะต้องพบกับจุดจบเดียวเท่านั้นคือ…
ความตาย
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์อสูร เผ่าพันธุ์ปีศาจ หรือเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ที่ไม่สามารถระบุตัวได้ในภพภูมิดาราจักร สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็จะต้องพบกับจุดจบเช่นเดียวกัน
ต่อให้มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิก็ไม่มีทางรอด
อะไรคือขั้นจอมเทพจักรพรรดิ?
ขั้นจอมเทพจักรพรรดิคือขั้นพลังที่อยู่ต่อจากขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 10 ขึ้นไป
นี่คือข้อมูลที่ยึดถือตามระดับความรู้อันตื้นเขินของหลินเป่ยเฉิน เขาเองก็จำได้จากชั้นเรียนของนักพรตหญิงชินในระหว่างที่ถูกคุมตัวเป็นนักโทษ ซึ่งขอบเขตขั้นพลังเหล่านี้ผู้ที่ออกแบบเป็นคนแรกก็คือองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นเอง
เป็นเวลาหลายพันปีที่รูปแบบการสร้างขอบเขตพลังยุทธ์เช่นนี้แพร่หลายไปทั่วดินแดนต่าง ๆ ในภพภูมิดาราจักร และในที่สุด มันก็ถูกเผยแพร่เข้าไปยังเผ่าพันธุ์อสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจ รวมไปถึงเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อีกมากมาย สุดท้าย สิ่งมีชีวิตในดินแดนต่าง ๆ จึงฝึกฝนพลังยุทธ์ในรูปแบบระบบเดียวกันหมดสิ้น
ซึ่งจากข้อมูลนี้เองที่ทำให้หลินเป่ยเฉินสามารถรับประกันได้อย่างหนึ่งเลยว่า องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ต้องเป็นอัจฉริยะแน่ ๆ
ขั้นพลังทั้งหมดนั้นเท่าที่เขารู้ในขณะนี้ประกอบไปด้วย
ขั้นพลังจอมเทพระดับ 1 ถึง 5 คือผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป
ขั้นพลังจอมเทพระดับ 5 ถึง 10 คือขั้นจอมเทพตอนปลาย
หลังจากนั้น ก็จะเป็นขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 1 ถึง 10
สูงขึ้นไปอีกก็คือขั้นจอมเทพจักรพรรดิระดับ 1 ถึง 10 อีกเช่นกัน
ในอาณาจักรหลิวเยวียน ผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิเปรียบเสมือนผู้แข็งแกร่งที่อยู่บนยอดสูงสุดของพีระมิด ซึ่งได้รับการยึดถือเป็นบุคคลสำคัญและมีจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้น
แต่เมื่อบรรลุขั้นพลังจอมเทพจักรพรรดิได้สำเร็จ คนผู้นั้นก็จะสามารถเดินทางในภพภูมิดาราจักรได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยใด ๆ
เนื่องจากว่าชั้นบรรยากาศในภพภูมิดาราจักรมีแรงกดดันมากเกินไป หากเรือเหาะไม่มีม่านพลังคอยห่อหุ้มเอาไว้ กลุ่มคนที่มีพลังขั้นต่ำกว่าจอมเทพจักรพรรดิก็จะเสียชีวิตโดยทันที
เรือเหาะหยางเว่ยสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ความรู้สึกของการเดินทางผ่านจุดทิ้งสมอนั้นแปลกประหลาด ผู้คนไม่ต่างจากตกอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
การเดินทางผ่านจุดทิ้งสมอใช้เวลาไม่เกินยี่สิบลมหายใจ
เพียงพริบตาเดียว เรือเหาะหยางเว่ยก็เดินทางผ่านจุดทิ้งสมอได้สำเร็จ
แรงสั่นสะเทือนหยุดลงแล้ว
นักพรตหญิงชิน เสี่ยวหู อากวงและคนอื่น ๆ ยังเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ในห้องพักส่วนตัว
บัดนี้ หวังจงทำหน้าที่เป็นเสมือนพ่อบ้านประจำเรือเหาะหยางเว่ย คอยดูแลความสะดวกสบายของทุก ๆ คนเป็นอย่างดี
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าอิ่มเอิบใจเพราะการฝึกพลังของเขานั้นคืบหน้าไปอย่างราบรื่น
ก่อนหน้านี้ที่เขาขึ้นไปยืนบนดาดฟ้าเรือเหาะ ก็เพราะอยากจะรับชมทิวทัศน์ของอวกาศที่กว้างใหญ่ไพศาล
ตึก! ตึก! ตึก!
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างเร่งร้อน
“นายท่านขอรับ เกิดเรื่องขึ้นที่ด้านนอกขอรับ” ผู้ควบคุมเรือเหาะหมิงเซวี่ยเฟิงวิ่งเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ และรีบติดตามอีกฝ่ายขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ
แล้วเขาก็ต้องตกตะลึง
เพราะสิ่งที่หลินเป่ยเฉินพบเห็นก็คือซากศพจำนวนหลายร้อยศพลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศด้านนอก พวกมันถูกแรงกดอากาศบีบอัดจนสภาพบิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่าง แต่ก็ยังพอมองออกอยู่ดีว่าเป็นซากศพของมนุษย์…
“นั่นขอรับ…”
หมิงเซวี่ยเฟิงชี้มือออกไปข้างหน้า
หลินเป่ยเฉินมองตามนิ้วมือของผู้ควบคุมเรือเหาะไป จนกระทั่งพบเข้ากับเรือเหาะลำหนึ่งที่ชำรุดเสียหาย มันลอยลำค้างอยู่กับที่ ม่านพลังที่ครอบคลุมตัวเรือเหาะเกิดประกายไฟปะทุออกมาเป็นระยะ
“นั่นคือเรือเหาะของคฤหาสน์สกุลหลิง”
หมิงเซวี่ยเฟิงรายงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นี่เป็นเรือเหาะขนส่งสินค้าของคฤหาสน์ตระกูลหลิง พวกเขาถูกปีศาจโจรสลัดบุกโจมตี… และในขณะนี้ การต่อสู้ก็ยังไม่ยุติขอรับ”
หลินเป่ยเฉินสามารถมองเห็นได้ถึงแสงสว่างวูบวาบจากการต่อสู้กันบนดาดฟ้าเรือลำนั้น
มีคลื่นพลังแผ่ออกมาเป็นระยะ
หลินเป่ยเฉินนำ ‘กล้องส่องทางไกล’ ออกมาทาบกับดวงตา
เด็กหนุ่มพบว่าเรือเหาะของคฤหาสน์สกุลหลิงมีขนาดใหญ่โตมากกว่าเรือเหาะหยางเว่ยสามถึงสี่เท่า การต่อสู้อันดุเดือดนั้นดำเนินไปบนดาดฟ้าเรือ และผู้คนที่กระเด็นตกมาจากเรือเหาะก็จะกลายร่างเป็นซากศพบิดเบี้ยวไปทันที…
เรือเหาะโจรสลัดลำเล็ก ๆ จำนวนมากห้อมล้อมเรือเหาะลำใหญ่นั้นไม่ต่างจากฝูงไฮยีน่ากำลังโจมตีเหยื่อ
“เรือเหาะลำนี้มีชื่อว่าเรือเหาะรุ่งอรุณ เป็นหนึ่งในสี่เรือขนส่งสินค้าลำสำคัญของตระกูลหลิงขอรับ”
หมิงเซวี่ยเฟิงเองก็กำลังรับชมการต่อสู้ผ่านกระจกดาราอยู่เช่นกัน
“นายท่านขอรับ พวกเราควรเลี่ยงไปทางอื่น หรือว่า…”
ผู้ควบคุมเรือหนวดเฟิ้มหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
“ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินเพิ่งเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก จึงตัดสินใจปรึกษากับมืออาชีพ
หมิงเซวี่ยเฟิงตอบว่า “กลุ่มปีศาจโจรสลัดมีเยอะเกินไป พวกเรามีกำลังพลไม่พอขอรับ ต่อให้เราเข้าไปช่วยเหลือ สุดท้ายก็ช่วยไม่ได้อยู่ดี… สถานการณ์ในขณะนี้ พวกเราสมควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นการดีที่สุด พวกปีศาจโจรสลัดมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต พวกเราอาจจะตายกันหมดก็ได้ขอรับ”
“สิ่งที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงักอย่างกระตือรือร้นและออกคำสั่งว่า “ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นพวกเราเข้าไปช่วยเหลือพวกเขากันเถอะ”
หมิงเซวี่ยเฟิงพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเด็กหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่…
เคยมีข่าวลือเล่าขานว่านายท่านคนใหม่ของเขาคนนี้เป็นพวกสติไม่สมประกอบ
แต่ในเมื่อยอมถวายตัวรับใช้แล้ว หมิงเซวี่ยเฟิงก็รู้ดีว่าชีวิตของตนเองตกเป็นของนายท่านโดยสมบูรณ์ ต่อให้นายท่านสั่งให้ไปตาย เขาก็ต้องไป
ด้วยเหตุนี้ เรือเหาะหยางเว่ยจึงเร่งความเร็วตรงเข้าไปหาเรือเหาะจากคฤหาสน์ตระกูลหลิง เพื่อทำการช่วยเหลือเป็นการด่วน
กะลาสีเรือทั้งยี่สิบหกคน รวมถึงหมิงเซวี่ยเฟิงต่างก็จัดเตรียมอาวุธครบมือ ไม่ว่าจะเป็นกระบี่ ธนู หน้าไม้ สายโซ่และตะขอกรงเล็บ หมวกครอบศีรษะ ไปจนถึงปีกโลหะ
นี่คือเครื่องแบบมาตรฐานของกะลาสีดาราจักร
กระบี่มีเอาไว้ใช้สำหรับการต่อสู้ระยะประชิดตัว ธนูและหน้าไม้เอาไว้ใช้สำหรับการต่อสู้ในระยะไกล ตะขอกรงเล็บที่ห้อยสายโซ่เอาไว้ใช้บุกขึ้นเรือเหาะฝ่ายตรงข้าม เช่นเดียวกับใช้สำหรับการหลบหนี ส่วนปีกโลหะและหมวกครอบศีรษะนั้นเอาไว้ใช้เดินทางระยะใกล้ในระหว่างที่ต้องออกไปต่อสู้ในชั้นบรรยากาศด้านนอก
“นายท่านขอรับ พวกเราพร้อมแล้ว”
หมิงเซวี่ยเฟิงนำผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองมายืนรวมตัวอยู่บนดาดฟ้าเรือด้วยสีหน้าเยือกเย็น
กะลาสีเรือทุกคนล้วนมีสีหน้าเศร้าหมอง ไม่ต่างจากคนที่รู้ตัวว่ากำลังจะถูกส่งไปตาย
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ “พวกท่านจะทำอะไรไม่ทราบ?”
“พวกเราจะออกไปต่อสู้กับกลุ่มปีศาจโจรสลัดขอรับ”
หมิงเซวี่ยเฟิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
ในภพภูมิดาราจักร กะลาสีเรืออย่างพวกเขามีอัตราการตายสูงมากที่สุดและงานของพวกเขาก็เป็นงานที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุดเช่นกัน
บ่อยครั้งที่เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย กลุ่มกะลาสีเรือจะถูกส่งออกไปตายก่อนเป็นกลุ่มแรก
“ผู้ใดบอกว่าจะให้พวกท่านลงมือ?”
หลินเป่ยเฉินโบกไม้โบกมือด้วยความรำคาญใจ “กลับไปควบคุมเรือเหาะให้ดีเถอะ เรื่องการต่อสู้กับโจรสลัดพวกนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”