เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1618 ข่าวร้ายและความเป็นจริง
ตอนที่ 1,618 ข่าวร้ายและความเป็นจริง
“คือว่าเรื่องนี้ ท่านผู้คุมสภาต้องฟังข้าน้อยอธิบาย… เอ่อ… อย่างใจเย็น ๆ ก่อนนะขอรับ และการอธิบายนั้นต้องใช้เวลาอยู่สักหน่อย…”
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจพยายามถ่วงเวลา
รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอันหยาบกร้านของเฟิงเสี่ยวไป๋ ชายวัยกลางคนหันไปกล่าวต่อหลิงไท่ซือว่า “พวกเราเดินทางกลับไปที่เมืองหลันจี๋ซิงกันก่อนดีกว่า ข้าคิดว่าคงไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขวางทางพวกเราได้อีกแล้ว”
หลิงไท่ซือฉีกยิ้มด้วยความดีใจและรับหน้าที่ควบคุมการเดินทางต่อไป
เฟิงเสี่ยวไป๋หันกลับมากล่าวต่อหลินเป่ยเฉินว่า “น้องหลินอธิบายมาเถอะ ข้ามีเวลาฟัง”
“คำอธิบายก็คือ คำอธิบายก็คือ…”
หลินเป่ยเฉินยกมือปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก “เรื่องราวมันเป็นเช่นนี้ขอรับ หลังจากที่ท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงหลบหนีออกมาจากสนามรบ เขาก็มุ่งหน้ามาที่เมืองชิงอวี้และประพฤติตนชั่วร้าย นำชื่อของท่านผู้คุมสภามาแอบอ้างเรี่ยไรรับเงินบริจาค สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวเมืองชิงอวี้เป็นอย่างยิ่ง”
“ข้าน้อยเห็นว่าปล่อยไปเช่นนี้คงไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจเข้าไปพูดคุยกับเขาดี ๆ ขอรับ สุดท้ายท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงก็สำนึกผิด เขาทราบแล้วว่าตนเองกระทำความผิดใหญ่หลวง ด้วยเหตุนี้ ท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงพร้อมด้วยผู้ติดตามทั้งหมดจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายชดใช้ความผิดขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินพยายามอธิบาย
เฟิงเสี่ยวไป๋มีสีหน้าฉงนสงสัย “ฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้ความผิดเนี่ยนะ?”
“ใช่แล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจังและจริงใจ
‘การทำให้ตนเองต้องถึงที่ตาย’ ก็คงไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายหรอกกระมัง
แม้ว่ามันจะเป็นเหตุผลที่ฟังดูไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ขอให้เอาตัวรอดจากตอนนี้ไปได้ก่อนเถอะ เอาไว้เขาได้พบกับหลิงเฉินเมื่อไหร่ นางอาจจะช่วยเจรจาให้เฟิงเสี่ยวไป๋กลับมาไว้ใจเขาอีกครั้งก็เป็นได้
เฟิงเสี่ยวไป๋ไม่กล่าวคำใด
เพราะเด็กหนุ่มผู้นี้แตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้มากทีเดียว
ความจริง ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะแสดงตัวออกมา เขาได้ซุ่มดูอยู่ในความมืดมานานแล้ว เพราะอยากรู้ว่าหลินเป่ยเฉินจะสามารถรับมือการโจมตีของปีศาจหญิงเฉาคงได้ถึงระดับไหน
ผลปรากฏว่าเฟิงเสี่ยวไป๋พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลที่มีความกล้าหาญและซื่อสัตย์ เพื่อปกป้องพรรคพวกของตนเอง เขาถึงกับยอมเผชิญหน้าศัตรูผู้แข็งแกร่งโดยไม่ห่วงความเป็นตายของชีวิต
แต่บัดนี้เล่า?
เฟิงเสี่ยวไป๋กลับรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีสมองไม่ปกติ
“เหยียนอวี้หลงนำเรือเหาะหลบหนีออกมาสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้แก่กองทัพฝ่ายมนุษย์ในสนามรบ เดิมที ข้าอยากจะจับตัวเขากลับไปลงโทษประหารชีวิตด้วยมือของตนเอง แต่ในเมื่อเขาฆ่าตัวตายไปเช่นนี้…”
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ฆ่าตัวตาย’ เฟิงเสี่ยวไป๋ก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวต่อไป “ข้าก็คงทำสิ่งใดไม่ได้อีกแล้ว เรือเหาะหยางเว่ยลำนี้ ขอยกให้เป็นของน้องหลินไปเลยก็แล้วกัน”
หืม?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
แค่นี้เองหรือ?
เป็นไปได้อย่างไร?
ผู้คุมสภาขุนนางแห่งอาณาจักรหลิวเยวียนสามารถถูกผู้คนหลอกลวงได้ง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ?
แต่เมื่อลองคิดดูอีกที เด็กหนุ่มจึงได้รู้ว่าเฟิงเสี่ยวไป๋กำลังพยายาม ‘ปกป้อง’ เขา และจบปัญหานี้ลงโดยเร็วที่สุดต่างหาก เพราะหากเรื่องที่ขุนนางใหญ่ประจำสภาขุนนางทอดทิ้งสนามรบและหลบหนีเอาตัวรอดได้รับการเผยแพร่ออกไป ขวัญกำลังใจของผู้คนในอาณาจักรหลิวเยวียนก็คงต้องสั่นคลอนเป็นแน่แท้
“ขอบคุณท่านผู้คุมสภามากขอรับ”
หลินเป่ยเฉินประสานมือแสดงความเคารพด้วยความดีใจ
เฟิงเสี่ยวไป๋ยืนเอามือไขว้หลัง หมุนตัวเดินกลับเข้าไปยังห้องพักใต้ท้องเรือเหาะโดยไม่พูดคำใดอีก
ตอนแรก หลินเป่ยเฉินอยากจะถามไถ่ถึงหลิงเฉิน แต่เมื่อเห็นท่าทีของเฟิงเสี่ยวไป๋ เขาก็จำเป็นต้องเปลี่ยนใจ
ผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่โตมักจะมีงานยุ่งและแทบไม่มีเวลาอยู่แล้ว
หลินเป่ยเฉินเองก็ต้องมาดูแลนักพรตหญิงชินและคนอื่น ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ เขาส่งมอบโอสถวิเศษและสมุนไพรวิเศษระดับสูงแจกจ่ายให้แก่ผู้คนอย่างทั่วถึง
หลังจากนั้น เขาก็กลับไปที่เรือเหาะหยางเว่ยและตำหนิหมิงเซวี่ยเฟิงพร้อมด้วยกลุ่มลูกเรืออย่างรุนแรง
เจ้ากะลาสีเรือเหาะพวกนี้พึ่งพาได้น้อยกว่าหวังจงซะอีก
เมื่อเห็นว่าศัตรูมีความแข็งแกร่งเกินรับมือไหว พวกเขาก็นำเรือเหาะหยางเว่ยหลบหนีไปทันที รอจนกระทั่งเฟิงเสี่ยวไป๋ปรากฏตัวขึ้นมานั่นแหละ พวกของหมิงเซวี่ยเฟิงจึงได้แอบนำเรือเหาะหยางเว่ยกลับมาอีกครั้ง
นอกจากพึ่งพาไม่ได้แล้ว
ยังปราศจากความซื่อสัตย์อีกด้วย
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจมอบเรือเหาะหยางเว่ยให้อยู่ภายใต้การดูแลของหวังจง และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อบ้านชราในการล้างสมองหมิงเซวี่ยเฟิงกับกลุ่มกะลาสีเรือต่อไป
…
สามวันต่อมา
เรือเหาะรุ่งอรุณเดินทางมาถึงเขตเมืองชั้นนอกของเมืองหลันจี๋ซิง
“นี่หรือคือเมืองหลวงของอาณาจักรหลิวเยวียน?”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ มือเกาะราวกั้นที่กราบเรือ ดวงตาเบิกโตกวาดมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความสนใจ
ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
มีความคล้ายคลึงกับโลกมนุษย์ใบเก่าของหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ
เมืองหลันจี๋ซิงมีขนาดกว้างใหญ่กว่าเมืองชิงอวี้หลายร้อยเท่า ยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตนเองได้กลับสู่โลกมนุษย์ใบเก่ามากเท่านั้น
เรือเหาะรุ่งอรุณลอยลำลงสู่ด้านล่างอย่างเชื่องช้า
เรือเหาะเคลื่อนตัวผ่านชั้นบรรยากาศ
ด้านล่างคือตัวเมืองที่มีความซับซ้อนและใหญ่โต
หอคอยสูงตระหง่าน ลานจัตุรัสกว้างใหญ่ ถนนกว้างขวาง พาหนะสำหรับการขนส่งและผู้คนมีการสัญจรผ่านหนาแน่นไม่ต่างจากฝูงมด…
ในสายตาของหลินเป่ยเฉิน เขารู้สึกว่าตนเองได้กลับมาอยู่บนโลกมนุษย์ใบเก่าแล้วจริง ๆ
เรือเหาะรุ่งอรุณลอยตัวต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งสามารถทำให้มองเห็นสภาพบ้านเมืองได้ชัดเจนมากขึ้น
โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมแตกต่างไปจากโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน หากจะให้หาคำอธิบายที่เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เมืองหลันจี๋ซิงเป็นเมืองฟ้าอมรที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดเมืองหนึ่ง แต่ตึกสูงระฟ้าและสิ่งก่อสร้างของโลกมนุษย์ยุคปัจจุบันนั้นถูกแทนที่ด้วยอาคารจีนโบราณที่มีขนาดใหญ่โตมากกว่าปกติหลายสิบเท่า
โรงเตี๊ยมที่มีความสูงเท่ากับโรงแรมหลายสิบชั้น นั่นก็แทบไม่ต่างจากตึกระฟ้าของโลกมนุษย์ยุคปัจจุบันที่หลินเป่ยเฉินจากมาแล้วจริง ๆ
“เมื่อหนึ่งเดือนก่อน พวกเราพ่ายแพ้ในสงครามชายแดน กองทัพปีศาจจึงรุกรานเข้ามาในตัวเมืองหลันจี๋ซิงได้สำเร็จ บัดนี้ ตัวเมืองถูกแบ่งออกเป็นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ครึ่งหนึ่งและเป็นของเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกครึ่งหนึ่ง และสถานการณ์ก็ยังคงไม่สู้ดีสักเท่าไหร่”
หลิงไท่ซือถอนหายใจออกมาก่อนอธิบายต่อ “บรรดามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเขตแดนที่เผ่าพันธุ์ปีศาจปกครองนั้น ข้าไม่ทราบเลยว่าพวกเขามีชะตากรรมเป็นอย่างไรบ้าง ต่อให้เราสามารถยึดเมืองหลันจี๋ซิงกลับคืนมาได้ทั้งหมด แต่ข้าก็ไม่รู้เลยว่ายังจะมีผู้คนรอดชีวิตอยู่อีกมากน้อยเพียงใด”
หลินเป่ยเฉินเงียบงัน
ชั่วขณะที่เขาพบเห็นสภาพแวดล้อมของเมืองหลันจี๋ซิง เขาก็เกิดความรู้สึกผูกพันขึ้นมาอย่างลึกซึ้ง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองได้พบเห็นยอดหญิงงามที่ชวนให้รู้สึกอยากปกป้องนางด้วยชีวิต
บางทีเขาอาจจะใช้ที่นี่เป็นตัวแทนของโลกมนุษย์
แต่แล้วไงล่ะ?
“และสถานการณ์ของพวกเราก็ยิ่งย่ำแย่มากกว่าเดิม”
หลิงไท่ซือกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินหันไปจ้องมองด้วยแววตาตั้งคำถาม
หลิงไท่ซือกล่าวว่า “อุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุทั้งหมดที่อยู่บนเรือเหาะรุ่งอรุณถูกทำลายหมดสิ้น พวกเราไม่สามารถขนส่งสินค้าได้ทันเวลาอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
หลิงไท่ซืออธิบาย “ปีศาจหญิงเฉาคงมีความเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก วันนั้นก่อนที่นางจะหลบหนีไป นางได้ลอบเผาห้องเก็บอุปกรณ์ของพวกเราด้วยเปลวไฟเวทมนตร์… กว่าข้าจะรู้ตัวเปิดเข้าไปตรวจสอบในห้องเก็บสินค้าก็เป็นรุ่งเช้าวันต่อมาแล้ว”
“นับว่าเป็นข่าวร้ายจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างอยู่เล็กน้อย ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แต่ถึงอย่างไรเรื่องราวเหล่านั้นก็ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ไม่มีทางลดค่าจ้างให้แก่ท่านเด็ดขาด”
หลิงไท่ซือพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเจรจาเรื่องนี้สักหน่อย
ครืน!
ทันใดนั้น เรือเหาะรุ่งอรุณและเรือเหาะหยางเว่ยก็แล่นลงจอดใน ‘สถานีขนส่ง’ ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลันจี๋ซิงอย่างปลอดภัยในที่สุด