เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1636 คิดถึงทุกลมหายใจ
ตอนที่ 1,636 คิดถึงทุกลมหายใจ
“อิอิ…”
หลิงเฉินจับมือเด็กหนุ่มและดันเขาไปจนชิดผนัง เมื่อการจูบอันร้อนแรงยุติลง นางก็ถามว่า
“ท่านพี่หลินคิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”
“คิดถึงทุกวัน”
“แค่ทุกวันเองหรือ?”
“คิดถึงทุกชั่วยาม”
“แค่ทุกชั่วยามเองหรือ?”
“คิดถึงทุกลมหายใจ”
“แม้ข้าจะรู้ว่าท่านโกหก แต่ข้าก็ยังมีความสุขอยู่ดี”
หลิงเฉินซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉินพลางแนบศีรษะลงบนหัวไหล่ของเขา ลมหายใจร้อนอุ่นเป่ารดต้นคอของเด็กหนุ่ม “ข้าคิดถึงท่านทุกครั้งที่ตื่น ข้าคิดถึงท่านทุกครั้งที่นอนหลับฝัน ข้าคิดถึงท่านทุกครั้งที่กึ่งหลับกึ่งตื่น… ข้าเองก็คิดถึงท่านทุกลมหายใจเช่นกัน”
“ข้าถึงมาหาเจ้าไงล่ะ”
หลินเป่ยเฉินโอบกอดสาวงามที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน
ความคิดถึงที่มีต่อหลิงเฉินซึ่งสะสมอยู่ในหัวใจของหลินเป่ยเฉินตลอดเวลาได้ปะทุตัวออกมาแล้ว
“แต่ความจริงเป็นข้ามาหาท่านต่างหาก”
หลิงเฉินย่นจมูกด้วยความไม่พอใจ “ข้ารอคอยท่านตั้งหลายวัน ทั้ง ๆ ที่ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ แต่ท่านก็ไม่เคยมาหาข้าเลย”
หลินเป่ยเฉินยิ้มและใช้นิ้วมือจิ้มจมูกของเด็กสาว “เพราะว่าข้ายังไม่มีสิทธิ์มาพบหน้าเจ้าไงล่ะ ตั้งแต่วันนั้นที่เจ้าจากมา ข้าก็รับปากกับบิดาเจ้าว่าจะพาเขามาหาเจ้าด้วย บัดนี้ บิดาของเจ้ายังติดค้างอยู่ในแผ่นดินตงเต้า ข้าตั้งใจที่จะเลื่อนขั้นพลังขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ก่อน...”
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแผ่นดินตงเต้าให้หลิงเฉินรับฟังทั้งหมด
ทั้งสองเดินกุมมือกันมาหยุดยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง
สายลมโชยพัดแผ่วเบา
โลกทั้งใบดูสงบสุขและสวยงาม
“ที่ข้าให้ท่านลุงเฟิงนำตัวท่านมาที่นี่ ก็เพราะข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน”
หลิงเฉินเอียงศีรษะมาซบไหล่หลินเป่ยเฉิน ก่อนกระซิบแผ่วเบา “ในเมืองหลันจี๋ซิง มีสุสานโบราณแห่งหนึ่งถูกปิดผนึก แม้ที่นั่นจะเป็นสถานที่ซึ่งอันตรายมาก แต่มันก็เก็บของวิเศษเอาไว้มากมายเช่นกัน… นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจในเมืองหลันจี๋ซิงพยายามทำทุกวิถีทางในการครอบครองสุสานโบราณแห่งนี้ให้ได้ และในอีกสามวันหลังจากนี้ ประตูสู่สุสานโบราณแห่งนั้นกำลังจะเปิดออก ที่นั่นมีของวิเศษอยู่มากมาย ข้าได้นำแผนที่จากม้วนคัมภีร์โบราณของดินแดนเกิงจินติดตัวมาด้วย พี่หลินรีบอ่านและจดข้อมูลเอาไว้เถอะเจ้าค่ะ”
นางนำคัมภีร์แผ่นพับที่ทำขึ้นมาจากแผ่นโลหะสีดำออกมาเล่มหนึ่ง
เมื่อคลี่ออกดูจึงพบว่ามันเป็นแผนที่ฉบับหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“แผนที่ฉบับนี้… เจ้าขโมยมาใช่หรือไม่?”
“ข้าจะไปขโมยมาได้อย่างไร?”
ดวงตาของหลิงเฉินเป็นประกายระยิบระยับอย่างซุกซน นางตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ข้าแค่แอบเอาออกมาตอนที่เจ้าของไม่ทันระวังตัวต่างหาก”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
นั่นมันก็ขโมยไม่ใช่หรือไง?
ช่างน่าซาบซึ้งใจเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินนำโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปแผนที่ฉบับนี้เก็บเอาไว้ทั้งหมด “ข้าจำได้แล้ว”
“รวดเร็วเสียจริง?”
หลิงเฉินอุทานด้วยความประหลาดใจ
แผนที่ฉบับนี้มีรายละเอียดมากมายดั่งแผนภูมิดารา ต่อให้จำได้ทั้งหมด อย่างน้อยก็ไม่สมควรใช้เวลารวดเร็วถึงเพียงนี้
“ฮ่า ๆๆ ข้ามักจะทำทุกสิ่งรวดเร็วเสมอ เจ้าไม่รู้หรือ?”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ
“ไม่ ท่านต้องลองพิจารณาดูให้ดีก่อน”
หลิงเฉินยังคงกล่าวเตือนด้วยความไม่มั่นใจ
หลินเป่ยเฉินจึงต้องนำแผนที่ขึ้นมาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง
บนแผนที่ฉบับนี้มีการระบุสัญลักษณ์ตำแหน่งไว้หลายจุด มิหนำซ้ำ ยังเขียนตัวอักษรระบุรายละเอียดในสถานที่นั้น ๆ เอาไว้อีกมากมาย
แค่มองเฉย ๆ ก็ตาลายแล้ว
ถ้าให้เขาต้องจดจำแผนที่ฉบับนี้ให้ขึ้นใจจริง ๆ นั่นก็คงเป็นงานหนักอยู่ไม่น้อย
หากเปลี่ยนแผนที่ฉบับนี้ให้ไปอยู่บนโลกมนุษย์ใบเก่าของเขา นี่ก็คงเป็นแผนที่สำหรับขุดสุสานของพวกโจรขุดสุสานแน่ ๆ
แต่นอกจากนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจอีกแล้ว
“เรียบร้อย ข้าจำได้ขึ้นใจ”
หลินเป่ยเฉินส่งแผ่นพับแผนที่กลับคืนไป “รีบเอาไปคืนเจ้าของซะ ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เดี๋ยวเจ้าจะเดือดร้อนเสียเปล่า ๆ”
หลิงเฉินแลบลิ้นใส่เขาด้วยความยียวน “ข้าไม่สน”
หลินเป่ยเฉินอยากจะถามถึงเรื่องราวของราชวงศ์หลิงในดินแดนเกิงจิน แต่คิดไปคิดมา เขาก็เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน “สุสานโบราณแห่งนี้มีแต่ผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะได้เข้าไปสักหน่อย เจ้าเอาแผนที่มาให้ข้าดูเช่นนี้ มันจะมีประโยชน์อันใด?”
หลิงเฉินยิ้มกว้าง ตอบว่า “ข้าจะพาท่านเข้าไปเอง ท่านแค่ต้องปลอมตัวเป็นองครักษ์เท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ผงกศีรษะ “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา”
เขาเป็นผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ การเลื่อนขั้นพลังในแต่ละครั้งจึงมักยากลำบากกว่าผู้อื่นหลายเท่า ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าผู้อื่นหลายเท่าเช่นกัน
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 9 การจะเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นับเป็นสิ่งยากเย็นเหลือเกิน หากการเลื่อนขั้นครั้งที่แล้วไม่ใช่เพราะปฏิบัติภารกิจตามแอปพลิเคชัน Keep ได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็ไม่ทราบเลยว่าตนเองจะต้องใช้เวลาอีกกี่เดือนกี่ปีจึงจะมาอยู่ในจุดนี้ได้
และหากในสุสานโบราณแห่งนั้นจะมีสิ่งที่ช่วยทำให้เขาเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จดั่งใจหวัง แล้วทำไมเขาถึงจะไม่ลองเข้าไปสำรวจดูล่ะ?
อีกอย่าง เขามีตัวช่วยสำคัญเป็นแอปไป่ตู้ แมป หลินเป่ยเฉินรู้สึกอยู่เสมอว่าแอปพลิเคชันนี้เหมาะสมสำหรับการสำรวจสุสานโบราณเป็นอย่างยิ่ง
“สุสานแห่งนี้มาจากยุคใดหรือ?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินตัดสินใจได้แล้ว เขาก็เริ่มสอบถามข้อมูล
หลิงเฉินในอ้อมแขนยิ้มแย้มอ่อนหวาน ก่อนให้คำตอบ “สุสานแห่งนี้มาจากยุคล่มสลายครั้งที่สอง ในกลุ่มสุสานโบราณ นี่ถือเป็นสุสานที่สมบูรณ์มากที่สุด ข่าวลือว่ามันยังคงมีเศษซากโครงกระดูกของผู้คนยุคโบราณที่ต่อสู้กับกองทัพปีศาจในอดีตอยู่ด้วยเจ้าค่ะ”
ยุคล่มสลายครั้งที่สอง?
เดี๋ยวก่อนนะ?
ยุคล่มสลายครั้งที่สอง มันคือยุคไหนกันล่ะเนี่ย?
แต่ดูเหมือนหลิงเฉินจะรู้ว่าหลินเป่ยเฉินต้องไม่เข้าใจแน่ ๆ นางถึงไม่รอให้เขาเอ่ยถามออกมาและรับหน้าที่อธิบายต่อเนื่องโดยทันที
“ตามประวัติศาสตร์ของพวกเรานั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์เกิดยุคล่มสลายขึ้นมาสองครั้ง ครั้งแรกคือการที่อาณาจักรหงหวงเกิดการระเบิดแตกแยกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย เผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคโบราณต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างหนักหนาสาหัส นั่นคือยุคสมัยที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ตกเป็นรองทุกฝ่ายโดยสมบูรณ์ นี่เรียกว่ายุคล่มสลายครั้งแรกเจ้าค่ะ… และก็เป็นจุดกำเนิดของเส้นทางดาราจักรอีกด้วย”
ให้ตายสิ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองกำลังกลับเข้าไปอยู่ในชั้นเรียนวิชาวิทยาศาสตร์
นี่มันทฤษฎีการระเบิดบิ๊กแบงไม่ใช่หรือไง?
หลิงเฉินกล่าวต่อไป “เมื่อผ่านพ้นยุคล่มสลายครั้งแรก อาณาจักรหงหวงแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย แผ่นดินที่แตกกระจายออกมาก็ก่อตั้งเป็นดินแดนต่าง ๆ สิ่งมีชีวิตหลายเผ่าพันธุ์เข้าครอบครองดินแดนเหล่านั้น ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คือหนึ่งในนั้นเจ้าค่ะ…”
โอ๊ะ นี่หลิงเฉินกำลังจะพาเขาเข้าเรียนวิชาประวัติศาสตร์ต่อเลยใช่ไหม?
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาลูบหัวเด็กสาวแผ่วเบาขณะรับฟังการอธิบายต่อไป