เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1639 คณะเดินทางสำรวจสุสาน
ตอนที่ 1,639 คณะเดินทางสำรวจสุสาน
“ท่านประมุข”
ณ สำนักงานใหญ่ของหอการค้าตันเฉา
สมาชิกตระกูลฮั่วคุกเข่าข้างเดียวแสดงความเคารพ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความโกรธแค้น
“ข้ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่งานมอบรางวัล ท่านประมุขฮั่วหยงเหนียนต้องสูญเสียชีวิตของตนเองและชีวิตของบุตรชายไปถึงสองคน ข้าขอรับรองว่าตระกูลฮั่วจะไม่มีทางปล่อยวางความแค้นในครั้งนี้เด็ดขาด”
ฮั่วเซวียนเซิน ผู้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขตระกูลคนใหม่ระเบิดเสียงคำรามดังกังวานไปทั่วห้องโถงใหญ่
เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในประมุขเก้าสกุลใหญ่แห่งอาณาจักรหลิวเยวียน ฮั่วเซวียนเซินจึงมีอำนาจอยู่ในมือเป็นรองก็แต่เพียงเฟิงเสี่ยวไป๋เท่านั้น โดยเฉพาะภายในตระกูลฮั่ว เขามีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดและได้รับการยกย่องจากทุกฝ่ายโดยปราศจากข้อกังขา
การปรากฏตัวของเขาทำให้ผู้คนตระกูลฮั่วมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
“ทุกท่านไม่ต้องเป็นกังวล”
เสียงพูดของฮั่วเซวียนเซินเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตามแบบฉบับของผู้ที่มีความมั่นใจในตนเองสูงส่ง “ยุคสมัยอันรุ่งเรืองของตระกูลฮั่วกำลังจะมาถึงแล้ว บัดนี้ อนาคตของพวกเราสดใสแจ่มกระจ่าง อีกไม่นาน ตระกูลฮั่วจะกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรหลิวเยวียน ข้าฮั่วเซวียนเซินขอรับปากกับพวกท่านเลยว่าภายในสิบวันหลังจากนี้ ข้าจะทำให้เจ้าตัวชั่วร้ายหลินเป่ยเฉินต้องชดใช้อย่างสาสม”
ข้างกายของฮั่วเซวียนเซินมีร่างที่สวมใส่เสื้อคลุมสีดำยืนเรียงรายอยู่แปดคน
พวกเขาคือผู้อาวุโสใหญ่ทั้งแปด นับเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลฮั่ว
หลายคนเป็นชายชราผมขาวหนวดขาว แม้มีใบหน้าที่เหี่ยวย่น แต่พลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายกลับสามารถกดดันผู้คนได้อย่างน่าสะพรึงกลัว
แต่ไม่มีผู้ใดน่าเกรงขามเท่าชายชราร่างเล็กที่ยืนอยู่ฝั่งขวามือของฮั่วเซวียนเซินอีกแล้ว
ชายชราผู้นี้มีร่างกายผอมบางไม่ต่างจากวานรตัวหนึ่ง เขาคือท่านปู่ของฮั่วเซวียนเซินมีนามว่าฮั่วเซินเซี่ย ครั้งหนึ่งเคยเป็นยอดฝีมือแห่งอาณาจักรหลิวเยวียน ได้รับการเคารพจากผู้คนทุกมุมเมือง และเกือบจะบรรลุขั้นพลังจอมเทพจักรพรรดิได้สำเร็จ… ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ฮั่วเซินเซี่ยนำกลุ่มแปดผู้อาวุโสใหญ่เผด็จศึกศัตรูในสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน
น่าเสียดายที่กาลเวลาไม่เคยปรานีผู้ใด
แม้แต่ฮั่วเซินเซี่ยก็ไม่มีข้อยกเว้น
ชายชราไม่สามารถบรรลุขั้นพลังจอมเทพจักรพรรดิ เขาติดชะงักอยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตอนปลายมาเนิ่นนานหลายสิบปี ระยะหลังฮั่วเซินเซี่ยจึงเก็บตัวหลอมรวมพลัง เพื่อหวังว่าจะสร้างปาฏิหาริย์ในการเลื่อนขั้นให้สำเร็จ
แต่วันนี้ ฮั่วเซินเซี่ยก็มาปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในเมืองหลันจี๋ซิง ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เขามาที่นี่เพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลฮั่ว
และมาเพื่อการเลื่อนขั้นพลังของตนเอง
ทุกคนต่างมารวมตัวกันในขณะนี้ก็เพื่อปฏิบัติภารกิจลับ
ภารกิจที่จะกำหนดความเป็นตายของตระกูลฮั่ว!
…
สามวันต่อมา
เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้นในเมืองหลันจี๋ซิง
สมรภูมิแม่น้ำเทียนซุยซึ่งอยู่ห่างออกไปทางฝั่งตะวันตกของเมืองหลันจี๋ซิงเป็นระยะทางกว่าแปดพันลี้ พื้นที่ในบริเวณนั้นมีส่วนหนึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดนามว่าทะเลสาบเฉิงซิน และเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น ทะเลสาบกลับแห้งเหือดไปไม่เหลือน้ำแม้แต่หยดเดียว
มิหนำซ้ำ ก้นทะเลสาบยังปรากฏปากทางเข้าถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่อีกด้วย
แต่ที่น่าขนลุกก็คือมีกลิ่นไอปีศาจลอยออกมาจากภายในถ้ำใต้ดินอย่างหนาแน่น
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามให้หลัง คลื่นพลังที่ไหลรินออกมาจากในถ้ำใต้ดินก็รวมตัวกันเป็นลำแสงฉายขึ้นไปบนท้องฟ้า
ลำแสงที่ถูกฉายขึ้นไปบนท้องฟ้าพลันกระจายตัวเป็นม่านพลังครอบคลุมทั่วพื้นที่รัศมีหลายร้อยลี้ของแม่น้ำเทียนซุย
เมื่อมองจากระยะไกล อาณาเขตของแม่น้ำเทียนซุยจึงมีม่านพลังครอบทับ ตัดขาดพื้นที่ออกจากสภาพแวดล้อมรอบข้างโดยสมบูรณ์
“เรียบร้อย”
องค์ชายหลิงเยวียนหลงปรากฏตัวขึ้นที่ริมทะเลสาบพลางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ประตูสู่สุสานโบราณได้ถูกเปิดออกแล้ว”
ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็คือองค์หญิงไข่มุกขาวหลิงเฉิน
บัดนี้ หลิงเฉินสวมใส่ชุดเกราะทั่วทั้งตัวยกเว้นแต่เพียงศีรษะ ผมสีดำยาวสลวยของนางรวบเป็นหางม้ายกสูง ใบหน้ายังคงสวยงามเฉิดฉาย ร่างกายแผ่รัศมีบางอย่างออกมาเป็นความสูงส่งที่อยู่เหนือผู้คน ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าจ้องมองนางตรง ๆ อีกแล้ว
นอกจากองค์ชายหลิงเยวียนหลงกับหลิงเฉิน คณะสำรวจสุสานในครั้งนี้ก็ยังมีตัวแทนจากเก้าสกุลใหญ่ เช่นเดียวกับท่านผู้คุมสภาพร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาสี่ทัพหลวงแห่งกองทัพหลิวเยวียน ทุกคนต่างก็มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
คณะเดินทางมีสมาชิกทั้งหมดสี่สิบสามคน
ทุกคนต่างก็เป็นสมาชิกที่ถูกคัดเลือกมาจากทางสภาและบรรดาตระกูลใหญ่ ทุกคนต่างก็ถือเป็นยอดฝีมือแห่งเมืองหลันจี๋ซิง
หลินเป่ยเฉินก็รวมอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
เขาเป็นผู้ที่มีพลังต่ำต้อยมากที่สุด
โดยที่ไม่สามารถให้คำอธิบายใด ๆ ได้เลย
ก็จะมีผู้ใดคาดคิดบ้างว่าผู้ที่สังหารปีศาจและอสูรระดับสูงได้มากมายอย่างเขา แต่ที่จริงแล้ว กลับมีพลังอยู่เพียงขั้นจอมเทพระดับ 9 เท่านั้น
ในสายตาของทุกฝ่าย ต่างก็มั่นใจว่าเด็กหนุ่มมีพลังสูงส่งมากกว่านั้น เพียงแต่เขาปิดบังความจริงเอาไว้ต่างหาก
หลินเป่ยเฉินคืออนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์
และด้วยเหตุผลนี้เอง ทางสภาขุนนางและทางกองทัพจึงตัดสินใจไม่เอาผิดหลินเป่ยเฉินทั้ง ๆ ที่เขาได้สังหารฮั่วหยงเหนียนบนเวทีมอบรางวัลวีรบุรุษต่อหน้าชาวเมืองเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นความผิดขั้นร้ายแรง
แต่เหตุไฉนหลินเป่ยเฉินจึงไม่ได้ปลอมตัว?
เรื่องราวทั้งหมดมีเหตุผลดังนี้
แผนการเดิมที่พวกเขาวางเอาไว้นั้น หลิงเฉินจะช่วยให้หลินเป่ยเฉินปลอมตัวเป็นองครักษ์ของนาง ติดตามเข้าไปในสุสานโบราณ เมื่อเข้าไปถึงด้านในแล้ว ก็จะแยกย้ายกันไปค้นหาทรัพย์สินของวิเศษตามสบาย
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือองค์ชายหลิงเยวียนหลงกลับปรับเปลี่ยนแผนการกระทันหัน เขาตัดสินใจที่จะเข้าไปสำรวจสุสานโบราณกับหลิงเฉินตามลำพัง โดยไม่นำพาองครักษ์ไปด้วยแม้แต่คนเดียว
แผนการที่หลิงเฉินกับหลินเป่ยเฉินวางเอาไว้จึงล้มเหลวพังทลาย
สุดท้าย หลิงเฉินจึงใช้อำนาจของนางกดดันไปทางเฟิงเสี่ยวไป๋ หลินเป่ยเฉินจึงสามารถมาปรากฏตัวอยู่ในคณะสำรวจของทางสภาขุนนางได้สำเร็จ
หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าสถานการณ์หลังจากนี้คงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าประตูทางเข้าสุสานจะเปิดออกแล้ว ตามทฤษฎี ผู้คนจำนวนมากสามารถเข้าไปสำรวจภายในนั้นได้โดยไม่มีขีดจำกัด แต่บัดนี้ ทางสภาขุนนางและบรรดาเก้าตระกูลใหญ่ได้ส่งคนมาคอยรักษาความปลอดภัย จึงไม่ให้มีผู้ใดเข้าไปภายในสุสานได้โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้เข้าไปสำรวจภายในสุสานจึงมีจำนวนจำกัด
และนี่ก็คือสิ่งที่รับประกันได้ว่าทรัพย์สินของวิเศษที่อยู่ภายในสุสานโบราณ จะไม่มีทางหลุดรอดไปจากเงื้อมมือของพวกเขาเผ่าพันธุ์มนุษย์
แต่อย่างไรก็ตาม ในคณะสำรวจครั้งนี้ ยังคงมี ‘คนนอก’ ติดตามเข้ามาด้วย
คนนอกผู้นั้นก็คืออวี้เหวินซิวเซียน
อวี้เหวินซิวเซียนสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีม่วง ยืนสงบนิ่งเงียบอยู่ด้านหลังท่านผู้คุมสภาเฟิงเสี่ยวไป๋ เห็นได้ชัดว่าถูกปิดผนึกพลังปราณเรียบร้อยแล้ว
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองไปที่อวี้เหวินซิวเซียน
หลายวันที่ผ่านมา อวี้เหวินซิวเซียนคงถูกทรมานไม่ใช่น้อย ชายหนุ่มดูซูบผอมมากกว่าเดิมหลายเท่า ตัวคนที่เคยกำยำสมส่วนก็ผอมหนังหุ้มกระดูก แก้มตอบ เส้นผมสกปรกรุงรัง ใบหน้าขาวซีด ลักษณะไม่ต่างไปจากคนที่กำลังป่วยหนัก
แต่ถึงกระนั้น แม้จะถูกพันธนาการข้อมือด้วยกุญแจดับดารา แต่อวี้เหวินซิวเซียนก็ยังคงยืนแผ่นหลังเหยียดตรง ดวงตาเป็นประกายมุ่งมั่น ไม่ต่างไปจากแสงดาวกลางท้องฟ้ายามราตรี
เมื่อรับรู้ว่าหลินเป่ยเฉินกำลังจ้องมองมา อวี้เหวินซิวเซียนก็หันมาส่งยิ้มให้เขาราวกับเป็นสหายเก่าที่ได้กลับมาพบเจอหน้ากันอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินเองก็ยิ้มตอบกลับไปด้วยความเป็นมิตรเช่นกัน
หลังจากนั้น รอยยิ้มของอวี้เหวินซิวเซียนก็ค่อย ๆ เลือนหายไป
อวี้เหวินซิวเซียนไม่พูดคำใดเลยสักคำ
หลินเป่ยเฉินอยากจะสอบถามท่านผู้คุมสภาเฟิงเสี่ยวไป๋ว่าเหตุไฉนจึงต้องนำตัวนักโทษอย่างอวี้เหวินซิวเซียนมาด้วย แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังของทุกคน หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจไม่ทำลายบรรยากาศดีกว่า