เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1640 ไม่รีบร้อน
ตอนที่ 1,640 ไม่รีบร้อน
เงียบสงบ
เสียงการสั่นไหวและกลิ่นไอปีศาจที่พุ่งออกมาจากถ้ำใต้ดินนั้นยุติลงแล้ว ไม่มีหมอกควันลอยออกมาเพิ่มเติมจากปากถ้ำอีกต่อไป
ได้เวลาของการเข้าไปสำรวจ
“ประตูสุสานจะเปิดเพียงสามวันเท่านั้น”
องค์ชายหลิงเยวียนหลงหันมามองหน้าทุกคน “พื้นที่ด้านในสุสานกว้างใหญ่ไพศาลเกินจินตนาการ เมื่อเข้าไปแล้ว ทุกคนสามารถแบ่งกลุ่มกันออกไปค้นหาสิ่งของได้ตามสะดวก แต่จำไว้ว่าต้องระมัดระวังตัวเป็นที่สุด สุสานแห่งนี้มีอันตรายระดับ 1 ซึ่งถือเป็นสุสานที่มีอันตรายมากที่สุด เพียงระยะก้าวเดินสิบก้าวก็สามารถฆ่าคนตายได้แล้ว สิ่งสำคัญคือพวกเราต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่เข่นฆ่ากันเอง…”
บัดนี้ องค์ชายหลิงเยวียนหลงมีสีหน้าเคร่งเครียด
เขายกมือขึ้นมากุมบริเวณหัวใจและกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “ขอโชคดีจงสถิตอยู่กับเผ่าพันธุ์มนุษย์… ขอให้องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อวยพรพวกเราด้วยเถิด”
“ขอให้องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อวยพรพวกเราด้วยเถิด”
ทุกคนประสานเสียงพร้อมกัน
เสมือนเป็นการสวดมนต์รูปแบบหนึ่ง
หลังจากนั้น องค์ชายหลิงเยวียนหลงก็นำหลิงเฉินเดินหายเข้าไปในปากถ้ำที่เต็มไปด้วยหมอกควันสีขาว
ร่างของคนทั้งสองถูกหมอกควันกลืนหายไปจากสายตา
ผู้ที่เดินเข้าไปเป็นรายต่อมาก็คือท่านผู้คุมสภาเฟิงเสี่ยวไป๋พร้อมด้วยองครักษ์อีกหกคนที่ทำหน้าที่คุมตัวนักโทษอวี้เหวินซิวเซียน
หลินเป่ยเฉินเดินตามติดไปทางด้านหลัง
เมื่อไม่กี่ลมหายใจก่อน เขาก็เห็นหลิงเฉินพยายามส่งสัญญาณบางอย่างให้แก่ตนเอง
…
ห่างออกไปหลายร้อยลี้
ค่ายที่พักของเผ่าพันธุ์ปีศาจริมแม่น้ำเทียนซุย
ลำแสงหลายสายพุ่งขึ้นมาในอากาศ บนพื้นดินปรากฏหมอกควันสีขาวพุ่งขึ้นมาไม่ต่างจากบริเวณปากถ้ำที่ฝ่ายมนุษย์กำลังเดินเข้าสู่สุสานโบราณเช่นกัน
“นี่ไงล่ะ”
“ประตูสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เปิดออกแล้ว”
“พวกเราทำตามคำบัญชา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตามหาของที่พวกเราต้องการให้ได้”
“หากจำเป็น แม้ต้องสละชีวิต พวกเราก็ไม่กลัว”
“เพื่อท่านจ้าวปีศาจ เพื่อท่านภูตอเวจี”
“เพื่อท่านภูตอเวจี”
บรรดาสมาชิกเผ่าพันธุ์ปีศาจส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น จากนั้นจึงเดินหายเข้าไปในบริเวณที่มีหมอกควันพวยพุ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้
กองทัพปีศาจก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกมาจากค่ายที่พักของพวกมันแล้วเช่นกัน
…
รอบกายมีแต่หมอกขาว ประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกลดทอนประสิทธิภาพ ต่อให้มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ สายตาก็มองเห็นเป็นระยะทางได้เพียงไม่กี่ก้าวเดินเท่านั้น
ไม่มีการเคลื่อนไหวแปลกประหลาด
หลินเป่ยเฉินเดินตามหลังกลุ่มคนเข้าไปภายในถ้ำใต้ดิน พยายามสังเกตความเปลี่ยนแปลงรอบกาย หมอกขาวลอยละล่องในอากาศ หูของเขาเหมือนจะได้ยินเสียงวิญญาณร้องครวญครางดังมาจากใต้ดิน…
นี่ไม่ต่างจากเขากำลังหลุดเข้ามาอยู่ในภาพยนตร์สยองขวัญสักเรื่องหนึ่ง
ในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงจุดที่สิ้นสุดทางเดิน
“ทุกคนระวังตัว”
องค์ชายหลิงเยวียนหลงปลดปล่อยพลังปราณ แล้วตะเกียงเวทย์มนตร์ดวงหนึ่งก็ลอยอยู่เหนือศีรษะ ก่อนที่เขาจะพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับหลิงเฉิน
“พวกเราไป”
เฟิงเสี่ยวไป๋ส่งเสียงตะโกนบอกทุกคนพร้อมกับกระโดดออกไปข้างหน้า
หลินเป่ยเฉินกระโดดตามโดยไม่ลังเล
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงแรงดูดมหาศาลจากใต้ฝ่าเท้าราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังฉุดลากเขาลงสู่เบื้องล่าง
หมอกขาวรอบตัวเริ่มหนาแน่นมากขึ้น หมอกขาวรอบตัวเปลี่ยนแปลงรูปทรงเป็นหลายสิ่งหลายอย่าง แต่รูปทรงเหล่านั้นก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างยาวนานหลายลมหายใจ
ทันใดนั้น ดวงตาของทุกคนก็สว่างไสว
เสียงภูตผีวิญญาณคร่ำครวญจางหายไปแล้ว
สายตามองเห็นได้มากขึ้น
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังปราณเพื่อรักษาสมดุลร่างกายของตนเอง
เขากวาดสายตามองรอบตัว
บัดนี้ เด็กหนุ่มพบว่าตนเองกำลังอยู่ในดินแดนอันแปลกประหลาด มวลอากาศรอบกายคล้ายกับห่อหุ้มด้วยม่านพลังบางอย่าง
“พวกเรามาถึงสุสานใต้ดินแล้วสินะ?”
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ทิ้งตัวลงสู่พื้นดินอย่างแช่มช้า
สุสานใต้ดินมีหินงอกหินย้อยขึ้นอยู่เต็มไปหมด มิหนำซ้ำ ยังมีวัชพืชเลื้อยพันอยู่บนพื้นดิน สายตาสามารถมองเห็นหลุมศพอยู่มากมาย ในอากาศมีดวงไฟปริศนาลอยล่องอยู่เต็มไปหมด
องค์ชายหลิงเยวียนหลงกับหลิงเฉินหายตัวไปแล้ว
แต่คนอื่น ๆ ยังคงอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
“น้องหลินจะมากับพวกเราก็ได้นะ”
ท่านผู้คุมสภาเฟิงเสี่ยวไป๋เอ่ยปากเชิญ
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม
ในเวลาเดียวกันนี้ บรรดาผู้คนตระกูลใหญ่ก็แบ่งกลุ่มกันแยกย้ายกระจายตัวไปทางใครทางมัน
เห็นได้ชัดว่าแต่ละตระกูลย่อมมีช่องทางการสืบข้อมูลเป็นของตนเอง สุสานโบราณแห่งนี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่ดูเหมือนทุกคนจะรู้แล้วว่าตนเองต้องมุ่งหน้าไปยังทิศทางใด
“น้องชาย ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย”
เฟิงเสี่ยวไป๋นำองครักษ์ทั้งหกคนจากสภาขุนนางควบคุมตัวอวี้เหวินซิวเซียนเดินตรงเข้าไปยังสุสานหลัก และในไม่ช้า ผู้คนก็หายวับไปผ่านม่านพลังในอากาศ
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองด้านบนด้วยความสงสัย
สุสานใต้ดินแห่งนี้มีสิ่งที่เหมือนกับท้องฟ้า แต่เป็นท้องฟ้าที่ไม่มีก้อนเมฆหรือดวงดาว
หลินเป่ยเฉินแน่ใจว่าตนเองกระโดดลงมาจากปากถ้ำชัด ๆ แต่บัดนี้ เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง
ดูเหมือนสุสานโบราณแห่งนี้จะตั้งอยู่บริเวณแกนกลางใต้ดินของเมืองหลันจี๋ซิงพอดี
ที่นี่คือโลกใต้พิภพ
ว่าแต่ไอ้ม่านพลังที่อยู่ล้อมรอบในอากาศนี่มันคืออะไรกันเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินรีบเปิดแอปไป่ตู้ แมป
บนหน้าจอของโทรศัพท์ยังคงแสดงเส้นทางเหมือนกับที่ปรากฏในโลกภายนอก เมื่อเด็กหนุ่มลองถ่างนิ้วขยายดูแผนที่ชัด ๆ เขาก็พบเห็นเส้นทางที่ทอดนำไปสู่สิ่งปลูกสร้างบางอย่าง
นี่มันอะไรกัน?
ดูเหมือนจะเป็นบ้านเรือนผู้คนนี่นา
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินค้นพบสามารถอธิบายได้เพียงอย่างเดียวว่า ในอดีตอันยาวไกล สุสานใต้ดินแห่งนี้เคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของผู้คนมาก่อน หรือถ้าไม่ใช่ผู้คน อย่างน้อยก็ต้องเป็นเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา
น่าเสียดายที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลายลงไปโดยสงคราม
หลินเป่ยเฉินพิจารณาดูแผนที่บนหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะเปิดภาพถ่ายแผนที่ซึ่งหลิงเฉินแอบขโมยมาให้เขาดูก่อนหน้านี้ และนำแผนที่ทั้งสองรูปแบบมาเทียบกันอย่างไม่รีบร้อน
เด็กหนุ่มคล้ายกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
หลังจากนั้นไม่นาน
บนหน้าจอของแอปไป่ตู้ แมปก็ปรากฏจุดอันตรายสีแดงสี่จุดแสดงขึ้นมา พวกมันเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วและกำลังพุ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินจากสี่ทิศทาง
“ฮ่า ๆๆ มากันได้สักทีนะ”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนพูดว่า “ข้ารู้ตัวตั้งนานแล้ว พวกเจ้าจะซ่อนตัวไปทำไม? พวกเจ้านี่มันใจร้อนจริง ๆ อยากฆ่าคนนักไม่ใช่หรือไง รีบโผล่หัวออกมาสิ!”
ทันใดนั้น ร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำสี่ร่างก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมาจากม่านพลังสี่ทิศทางอย่างไร้สุ้มเสียง