เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1643 วิญญาณปีศาจแห่งสนามรบ
ตอนที่ 1,643 วิญญาณปีศาจแห่งสนามรบ
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกว่ามอเตอร์ไซค์ชักจะวิ่งเร็วเกินไปแล้ว เขารู้สึกเหมือนวิญญาณกับร่างกายของตนเองแยกออกจากกัน โดยที่ร่างกายนำอยู่ข้างหน้า ส่วนวิญญาณต้องวิ่งตามมาทางด้านหลัง
เมื่อพื้นที่รอบข้างไม่มีบรรดาโครงกระดูกผีอีกแล้ว หลินเป่ยเฉินจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและจอดมอเตอร์ไซค์
หลังจากจัดแต่งทรงผมด้วยการส่องกระจกมองข้างจนหล่อเหลาดีแล้ว หลินเป่ยเฉินก็นำบุหรี่ออกมาจุดสูบ เพื่อสงบสติอารมณ์
สุสานโบราณแห่งนี้คือฉากในหนังสยองขวัญที่แท้จริง
โดยเฉพาะโครงกระดูกพวกนั้น
พวกมันนอนหลับอยู่ใต้ดินอย่างสงบสุข แต่อาจจะเป็นเพราะเสียงการต่อสู้ระหว่างหลินเป่ยเฉินกับสี่ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลฮั่ว โครงกระดูกผีเหล่านั้นจึงคลานขึ้นมาจากหลุมใต้ดิน
หลินเป่ยเฉินใช้ความคิดขณะสูบบุหรี่
“ที่นี่เป็นสุสานจากยุคล่มสลายครั้งที่สอง ตอนนั้นมีสิ่งมีชีวิตอยู่หลายร้อยสายพันธุ์ รวมถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่รวมตัวต่อสู้กับพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจ โครงกระดูกที่ฟื้นขึ้นมาจากหลุมศพเมื่อสักครู่มีแต่โครงกระดูกสีม่วง แสดงว่าต้องเป็นโครงกระดูกของพวกปีศาจแน่ ๆ หรืออย่างน้อย ก่อนตายพวกมันก็คงถูกพลังปราณปีศาจเข้าแทรกซึม”
“เมื่อพวกมันฟื้นขึ้นมา นอกจากกระดูกจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าปกติแล้ว ขั้นพลังในการต่อสู้ก็ยังไม่ค่อยสูงส่งสักเท่าไหร่ น่าจะอยู่เพียงขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 3 ถึงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 4 เท่านั้น”
“แต่พอเวลาค่อย ๆ ผ่านไป พลังของพวกมันก็ฟื้นฟูขึ้นมามากขึ้น แม้แต่โครงกระดูกที่หลุดออกไปก็สามารถนำมาประกอบใหม่ได้… ให้ตายเถอะ นี่มันโครงกระดูกผีหรือหุ่นยนต์ทรานส์ฟอร์เมอร์วะเนี่ย?”
“สำหรับโครงกระดูกพวกนี้ พวกมันคงเป็นผู้คนที่เคยสู้รบจากสงครามครั้งโบราณ ในร่างกายคงเก็บพลังปราณเอาไว้ไม่ใช่น้อย เราน่าจะหาวิธีใช้ประโยชน์จากพวกมันได้บ้างสิน่า ว่าแต่จะมีวิธีอะไรสามารถควบคุมพวกมันได้บ้างไหมนะ? ถ้าสามารถหาวิธีควบคุมโครงกระดูกพวกนี้ได้ งานของเราก็สบายมากขึ้นแล้ว”
“โอ๊ะ จริงด้วยสิ!”
หลินเป่ยเฉินพลันเกิดไอเดียบรรเจิดขึ้นมาในทันที
นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเขาฉลาดมากขึ้นจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินหมุนหัวรถมอเตอร์ไซค์และขี่กลับไปยังทิศทางที่ตนเองเพิ่งจะจากมาอีกครั้ง
ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็กลับมาถึงอาณาเขตของโครงกระดูกผี
เสียงเครื่องยนต์ก้องกระหึ่มดึงดูดความสนใจของบรรดาโครงกระดูก พวกมันหันคอมองมาที่หลินเป่ยเฉินเป็นจุดเดียว
โดยเฉพาะโครงกระดูกยักษ์ตัวนั้น
มันโบกสะบัดกระดูกท่อนใหญ่ที่ถืออยู่ในมือ ระเบิดเสียงคำรามอย่างดุร้าย ก่อนพุ่งตรงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินตีวงเลี้ยวร้อยแปดสิบองศา และใช้โทรศัพท์มือถือสแกนไปที่โครงกระดูกยักษ์ตัวนั้นขณะที่มอเตอร์ไซค์เลี้ยวผ่านหน้ามันไป
‘ติ๊ง!’
‘วิญญาณปีศาจแห่งสนามรบ’
‘ดวงจิตของปีศาจที่ตกตายในสนามรบยุคโบราณไม่เคยดับสูญ ดวงจิตของพวกมันจะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล และพวกมันจะเคารพก็แต่ผู้ที่อยู่ในเผ่าพันธุ์เดียวกันเท่านั้น หากพวกมันสามารถสัมผัสได้ถึงผู้ที่เป็นศัตรู วิญญาณปีศาจเหล่านี้ก็จะบุกโจมตีโดยทันที การต่อสู้ทั้งหมดของพวกมัน ล้วนแต่อุทิศให้แก่องค์จักรพรรดิปีศาจ’
‘แม้ร่างกายของพวกมันจะตายไปแล้ว แต่ดวงจิตและวิญญาณของปีศาจเหล่านี้ ก็ยังคงมีพลังการต่อสู้เต็มเปี่ยม’
‘หมายเหตุ 1: วิญญาณปีศาจแห่งสนามรบมีชีวิตอยู่รอดได้ด้วยการดูดซับปราณปีศาจโบราณที่อยู่ภายในสุสาน เมื่อกาลเวลาผ่านไป ดวงจิตของพวกมันก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น สุดท้ายพวกมันก็จะกลายเป็นวิญญาณอมตะไม่มีวันตาย’
‘หมายเหตุ 2: เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตคือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของวิญญาณปีศาจแห่งสนามรบได้เป็นอย่างดี เพราะความปรารถนาของพวกมันก็คือการกลับมามีผิวหนังและเลือดเนื้อสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง พวกมันอยากจะกลับมามีร่างกายสมบูรณ์พร้อม เพื่อต่อสู้ให้แก่องค์จักรพรรดิปีศาจต่อไป’
‘หมายเหตุ 3: จุดอ่อนและจุดแข็งของวิญญาณปีศาจแห่งสนามรบคือสิ่งเดียวกัน เพราะพวกมันเป็นดวงจิตที่มีสติปัญญาต่ำต้อย นั่นทำให้พวกมันไม่เกรงกลัวอันตราย แต่ก็สามารถหลงกลศัตรูได้ง่ายดายเช่นกัน’
ข้อความจำนวนมากปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็บิดคันเร่งตีวงโค้งนำมอเตอร์ไซค์ Zongshen รุ่น 250 เรโทรแล่นหนีจากไปด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มก็หายลับไปจากอาณาเขตของเหล่าโครงกระดูกผี
ฝุ่นบนพื้นดินถูกล้อมอเตอร์ไซค์ตะกุยจนฟุ้งตลบในอากาศ
บรรดาโครงกระดูกผีมีเศษฝุ่นปกคลุมทั่วร่างกาย
พวกมันระเบิดเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะค่อย ๆ กลับลงหลุมไปอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
แต่ผ่านไปไม่ถึงชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย
ครืน!
เสียงที่เหมือนฟ้าคำรามดังขึ้นอีกครั้ง
ศัตรูผู้นั้นกลับมาอีกแล้วหรือ?
เจ้าโครงกระดูกยักษ์ลุกขึ้นแผดเสียงคำราม นำพรรคพวกของมันออกมาดักรออยู่หน้าทางเข้าอาณาเขต
แล้วพวกมันก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อ
เปลวไฟสีม่วงที่เผาไหม้อยู่ในเบ้าตาของพวกมันพลันแสดงออกถึงความพิศวงงงงวย เจ้าโครงกระดูกผีเอียงศีรษะด้วยความสงสัย ไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรทำอย่างไรดี
เพราะในเวลาเดียวกันนี้
โครงกระดูกผีที่มีเปลวไฟสีม่วงลุกท่วมร่างกายตัวหนึ่งกำลังทำท่าเหมือนกำลังนั่งขี่ม้าลอยตัวอยู่กับที่ และเบ้าตาที่มีเปลวไฟสีม่วงแผดเผาก็กำลังจ้องมองมาที่พวกมันเช่นกัน
บรรยากาศปกคลุมด้วยความเงียบ
อีกฝ่ายก็เป็นวิญญาณปีศาจเหมือนกันใช่หรือไม่?
กลุ่มโครงกระดูกผีคิดว่าผู้ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าในขณะนี้คงเป็นพรรคพวกของตนเองเป็นแน่แท้ แต่สัญชาตญาณบอกพวกมันว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เพราะฉะนั้น ภายในสุสานโบราณจึงมีแต่ความเงียบสงัด
หัวใจของหลินเป่ยเฉินเต้นระทึก
บัดนี้ เขาใช้แอปเมจิก คาเมร่าปลอมตัวเป็นหนึ่งในโครงกระดูกผีระดับหัวหน้าของพวกมัน
แอปเมจิก คาเมร่ามีประโยชน์สูงสุดก็ในเวลานี้เอง
เหมาะที่จะใช้งานในสถานการณ์นี้เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพวกวิญญาณปีศาจแห่งสนามรบเห็นว่าเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อีกต่อไป พวกมันก็ไม่ได้พยายามจะโจมตีเขาอีก
แม้สัญชาตญาณจะแจ้งเตือนพวกมันว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ระดับสติปัญญาของพวกมันก็ต่ำต้อยเกินกว่าจะวิเคราะห์สิ่งใดได้นอกเหนือไปกว่านั้น
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ยกมือที่เป็นโครงกระดูกของตนเองขึ้นสูงและปลดปล่อยกระแสเสียงออกไปว่า “องค์จักรพรรดิปีศาจจงเจริญ”
ในพริบตานั้นเอง
กลุ่มโครงกระดูกผีที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เลียนแบบท่าทางของเขาและประสานเสียงตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน “องค์จักรพรรดิปีศาจจงเจริญ”
เป็นพวกเดียวกันจริง ๆ ด้วย
วิญญาณปีศาจแห่งสนามรบที่ก่อนหน้านี้ยังคงติดใจสงสัยในการปรากฏตัวของผู้มาใหม่… บัดนี้ พวกมันก็แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกันจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจว่าตนเองคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกเหมือนโครงกระดูกผีเหล่านี้ดูจะมี ‘ความสงสัย’ ต่อตัวเขาเองไม่ใช่น้อย
โดยเฉพาะเปลวไฟสีม่วงที่อยู่ในเบ้าตาของพวกมัน เด็กหนุ่มรู้สึกว่าโครงกระดูกเหล่านี้กำลังจ้องมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ
โชคดีที่วิญญาณปีศาจแห่งสนามรบเหล่านี้เป็นพวกที่มีสติปัญญาต่ำต้อย พวกมันจึงไม่สามารถตรวจจับสิ่งใดได้มากกว่าพลังปราณของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเมื่อหลินเป่ยเฉินอยู่ภายใต้การปลอมตัวจากแอปเมจิก คาเมร่า โครงกระดูกผีเหล่านี้ก็ไม่อาจค้นพบสิ่งผิดปกติใด ๆ อีกแล้ว
เจ้าโครงกระดูกผียักษ์ระเบิดเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินแยกจากไป
โครงกระดูกตัวอื่น ๆ ก็แยกย้ายไปคนละทิศคนละทางเช่นกัน
พวกมันถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหล บัดนี้ไม่ทราบว่าตนเองสมควรทำสิ่งใด จึงได้แต่ออกเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วสุสานใต้ดิน
หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ด้วยความสงบสุขุม แต่มือก็กำคันเร่งอยู่ตลอดเวลา หากเกิดสิ่งใดไม่ชอบมาพากลเมื่อไหร่ เขาก็พร้อมที่จะบิดคันเร่งหลบหนีไปได้ทุกเมื่อ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นหมาป่าแปลกหน้าที่มาขอเข้าฝูงหมาป่าเจ้าถิ่น
โชคดีที่วิญญาณปีศาจแห่งสนามรบเหล่านี้ไม่ได้ปฏิเสธการเข้าร่วมของเขา
พวกมันบางตัวถึงกับยอมหลีกทางให้เขาขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไปอีกด้วย
เมื่อเข้าไปอยู่รวมกลุ่มกับบรรดาโครงกระดูกผีเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็สามารถถอนหายใจออกมาได้ด้วยความโล่งอกเต็มที่
การปลอมตัวสำเร็จลงด้วยดี
การทดลองของเขาสำเร็จลงด้วยดี
นี่หมายความว่าตราบใดที่เขายังปลอมตัวเป็นโครงกระดูกผีขี่มอเตอร์ไซค์อยู่เช่นนี้ เขาก็ยังปลอดภัยอยู่เสมอ
แต่แน่นอนว่าหากในสุสานใต้ดินยังมี ‘ตัวประหลาด’ ชนิดอื่นอยู่ด้วย นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว