เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1647 คำสั่งเสีย
ตอนที่ 1,647 คำสั่งเสีย
ชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีแดงเป็นเพียงผู้เดียวที่ไม่ล่าถอยและยังคงยืนหยัดอยู่สู้ต่อไป
เขาทำลายประตูมิติทิ้งและตั้งรับกองทัพปีศาจทั้งหมดด้วยตัวเพียงคนเดียว
สุดท้าย ชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีแดงก็ใช้เวลาต่อสู้อยู่ครึ่งค่อนวัน เขาก็สามารถกวาดล้างกลุ่มปีศาจทองคำได้สำเร็จ รวมถึงสามารถจัดการเจ้านกยักษ์ที่ประทับรอยเท้าไว้บนประตูเมืองและตัดหัวปีศาจมังกรทองคำได้อีกด้วย…
หลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยุติลง
ในจังหวะที่ทุกฝ่ายเข้าใจว่าชายวัยกลางคนเสียชีวิตในการต่อสู้ เขาก็รวบรวมบรรดากระบี่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ตกอยู่บนพื้นดินให้รวมเป็นกระบี่หนึ่งเดียว ก่อนที่ทั้งคนทั้งกระบี่จะพุ่งขึ้นไปหาดวงตาสีม่วงขนาดใหญ่ยักษ์บนท้องฟ้าดวงนั้น…
เกิดการระเบิดสนั่นหวั่นไหวตามมา
มวลอากาศปั่นป่วน
และพื้นที่ใจกลางเมืองตงหยางก็เกิดหลุมลึกขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งหลุม
คลื่นพลังมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากหลุมนั้น
แล้วซากศพของบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจทุกสายพันธุ์ก็ถูกดูดลงไปอยู่ในหลุมนั้น
ก่อนที่ลำแสงกระบี่เงินและลำแสงสีแดงจะพุ่งลงมาจากท้องฟ้าตรงลงไปที่ก้นหลุมลึกใต้ดิน
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบขณะเฝ้ามองด้วยความรู้สึกทรมานใจ
พวกผู้คนที่สวมใส่ชุดเกราะทองคำเหล่านั้นน่าจะเคยเป็นมนุษย์มาก่อน
การทรยศของพวกมันทำให้เด็กหนุ่มต้องกัดฟันด้วยความโกรธแค้น
ความตายของนักรบโบราณเหล่านี้ทำให้หลินเป่ยเฉินอยากจะร้องไห้
ภาพอดีตที่พบเห็นเมื่อสักครู่ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก เด็กหนุ่มอยากจะชักกระบี่ออกมาและลงสู่สมรภูมิเพื่อช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นเหลือเกิน
หลังจากนั้น ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างก็เลือนหายไป
สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง
หลินเป่ยเฉินกลับมายืนอยู่บนภูเขาโครงกระดูกอีกครั้ง
ไม่ทราบเลยว่าชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีแดงลุกยืนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และบัดนี้ เขาก็เดินเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินพร้อมกับจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาอ่อนโยน สีหน้าปรากฏความสุขฉายชัด
“หลายพันปีที่ผ่านมา ศพของข้าอยู่ที่นี่และวิญญาณของข้ายังคงอยู่… สหายน้อย เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่รอดใช่หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนสอบถาม
ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
หลินเป่ยเฉินยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหัวใจหนักมากไปกว่าเดิม
เขาตอบรับกลับไปว่า “บัดนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์คือเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเส้นทางดาราจักรขอรับ พวกเราครอบครองดินแดนจำนวนมาก สิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ต่างก็อยู่ภายใต้การปกครองของพวกเรา”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายวัยกลางคน
“หนึ่งกระบี่ในใต้หล้า กลืนวิญญาณผลาญผู้คน… ฮ่า ๆๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรพบุรุษอย่างพวกเราก็ตายตาหลับแล้ว”
เมื่อชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีแดงกล่าวมาถึงตรงนี้ ร่างกายของเขาก็แตกสลายกลายเป็นหมอกควันไปทันที
หลงเหลือเพียงหยดเลือดขนาดเท่ากับลูกท้อลอยอยู่ในอากาศตรงบริเวณที่ชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีแดงเคยนั่งขัดสมาธิอยู่ก่อนหน้านี้
โลหิตพิสุทธิ์
นี่คือโลหิตพิสุทธิ์ที่ชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีแดงทิ้งเอาไว้
หลินเป่ยเฉินยิ้มร่าด้วยความดีใจ เดินเข้าไปใช้มือของตนเองประคองหยดเลือดนั้นขึ้นมาสำรวจดู
แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะเมื่อมือของเขาสัมผัสกับโลหิตพิสุทธิ์ หยดเลือดก็แตกกระจายไม่ต่างจากฟองสบู่ซึมหายเข้าไปในฝ่ามือของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
โลหิตพิสุทธิ์สามารถหลอมรวมกับร่างกายได้โดยทันทีเชียวหรือ?
เขารู้สึกได้ถึงพลังร้อนอุ่นที่ไหลเวียนไปทั่วแขนขวา และเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น กระแสพลังเหล่านั้นก็แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย
ไม่มีความเจ็บปวดอย่างที่คิด
มิหนำซ้ำ หลินเป่ยเฉินยังรู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้นอนแช่น้ำอุ่น
“ที่แท้การหลอมรวมพลังจากโลหิตพิสุทธิ์ก็มีความง่ายดายแค่นี้เอง”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้น…
‘โปรดจำเอาไว้ หากยังมีทายาทของพวกปีศาจทองคำหลงเหลืออยู่ พวกเราต้องถอนรากถอนโคนมันให้สิ้นซาก...’
เสียงของชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีแดงพลันดังขึ้นในหัวของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงอีกครั้ง
‘สหายน้อย เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้าตายมาหลายพันปีแล้ว นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณของข้าเท่านั้น เจ้าผ่านการทดสอบของข้า และข้าจะช่วยเจ้าหลอมรวมพลังจากโลหิตพิสุทธิ์เอง… เพราะฉะนั้น เจ้าวางใจเถอะ การหลอมรวมพลังต้องผ่านไปด้วยดีแน่นอน’
เสียงของชายวัยกลางคนยิ่งพูดก็ยิ่งแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ
หลินเป่ยเฉินเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาโดยทันที
ปรากฏว่าภาพอดีตที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ ภาพการต่อสู้ในเมืองตงหยางจากยุคแห่งการล่มสลายครั้งที่สอง มันคือบททดสอบที่ชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีแดงมอบให้กับเขานั่นเอง
เหตุผลไม่มีสิ่งใดซับซ้อน
มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะสะเทือนใจต่อเหตุการณ์นี้
หากเมื่อสักครู่ เขาแสดงปฏิกิริยาตอบรับต่อการเสียสละของบรรพบุรุษเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นความเรียบเฉยไร้อารมณ์ หลินเป่ยเฉินเกรงว่าตนเองคงไม่ผ่านการทดสอบแน่ ๆ และวันนี้ เขาก็คงได้โลหิตพิสุทธิ์มาครอบครองอย่างยากลำบากมากกว่านี้หลายร้อยพันเท่า
เมื่อวิญญาณของชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีแดงช่วยหลอมรวมพลังให้แก่หลินเป่ยเฉิน ขั้นตอนหลังจากนี้ก็ง่ายดายขึ้นแล้ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกผ่อนคลาย
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะประสาทสัมผัสต่าง ๆ แม้แต่เสียงหัวใจเต้นตึกตัก หลินเป่ยเฉินก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
และภายใต้เสียงหัวใจเต้นนั้นเอง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเหมือนกับว่าหน้าอกฝั่งซ้ายมือของตนเองมีผู้คนกำลังไปนั่งตีกลองอยู่ในนั้น
หลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าหลังการหลอมรวมพลังจากโลหิตพิสุทธิ์ ร่างกายและพลังปราณของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้น
ภายใต้เสียงหัวใจที่เต้นแรง โลหิตไหลเวียนไปทั่วร่างกาย หลินเป่ยเฉินแทบจะสัมผัสได้เลยว่าเส้นเลือดของเขาขยายตัวใหญ่มากขึ้น ทำให้การไหลผ่านของคลื่นพลังสามารถเป็นไปได้โดยราบรื่นมากขึ้น
โลหิตในร่างกายไหลเวียนมาสู่หัวใจ หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้อย่างเด่นชัดว่าอวัยวะภายในร่างกายหรือแม้แต่โครงสร้างเส้นเลือดในสมอง ต่างก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับพลังจากโลหิตพิสุทธิ์
นี่คือความรู้สึกที่แปลกประหลาด
หลินเป่ยเฉินสามารถหลับตามองเห็นโครงสร้างร่างกายของตนเองได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เขาเห็นการไหลเวียนของโลหิตไปตามเส้นเลือด เขาเห็นการไหลเวียนของมวลพลัง เขาเห็นถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นของมวลกล้ามเนื้อ…
หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ หลินเป่ยเฉินคงเข้าใจว่าตัวเองกำลังจะตายแล้วแน่ ๆ
แต่ที่นี่ หลินเป่ยเฉินเพียงรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หัวใจเต้นเร็ว โลหิตไหลเวียน ร่างกายแข็งแกร่ง…
ระบบไหลเวียนโลหิตมีความไหลลื่นมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนเองสูงมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ เขาสูงประมาณ 179 เกือบจะ 180 เซนติเมตร
แต่บัดนี้ เขาสูง 185 เซนติเมตรแล้ว
“อย่างกับได้เปลี่ยนกระดูกเลาะเส้นเอ็นเลยแฮะ นึกว่าตายแล้วเกิดใหม่นะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินเข้าใจเรื่องราวอย่างแจ่มชัด
โลหิต
การฝึกวิชาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของระดับสายเลือด ยิ่งมีระดับสายเลือดสูงส่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งมากเท่านั้น
โลหิตคือพื้นฐานของร่างกาย
เมื่อได้รับการหลอมรวมพลังจากโลหิตพิสุทธิ์ สำหรับผู้คนทั่วไป การเปลี่ยนถ่ายโลหิตอาจจะเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สายเลือดของตนเอง
สำหรับหลินเป่ยเฉิน เขาถูกระบุว่ามีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งความสามารถในการฝึกวิชายุทธ์มีอย่างจำกัด แต่ร่างกายของเขาก็ยังแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าร่างกายของตนเองกำลังเปลี่ยนไป
และที่สำคัญที่สุดก็คือ การหลอมรวมพลังครั้งนี้กำลังจะช่วยทำให้หลินเป่ยเฉินบรรลุขอบเขตพลังจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทำลายคำสาปของผู้ที่ครอบครองสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ลงโดยสมบูรณ์