เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1649 กระดูกอาถรรพ์
ตอนที่ 1,649 กระดูกอาถรรพ์
แต่การกระแทกไม่เกิดขึ้น
“หากคิดฆ่าตัวตายก็ฝันไปเถอะ”
อีกหนึ่งในสมาชิกของคณะสำรวจสุสานผู้สวมใส่หน้ากากโครงกระดูกค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาข้างหน้า และดึงตัวอวี้เหวินซิวเซียนให้กลับมายืนตรงดังเดิม เพราะดูออกว่าปีศาจหนุ่มตั้งใจจะโขกศีรษะกับก้อนหินเพื่อฆ่าตัวตาย
สมาชิกท่านนี้คืออวี้พั่วเซียว เป็นตัวแทนที่แข็งแกร่งที่สุดจากตระกูลอวี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลใหญ่เช่นกัน
ตระกูลอวี้สืบทอดวิชาตามสายเลือดผู้อัญเชิญ มีความสามารถโดดเด่นในการควบคุมซากศพ ค้นหาวิญญาณ และเรียกวิญญาณกลับคืนจากความตาย นอกจากนี้พวกเขายังแอบถูกเรียกขานอย่างลับ ๆ ว่าเป็นตระกูลมนุษย์ผีดิบอีกด้วย
เหตุผลที่ทางสภาขุนนางต้องดั้นด้นบุกตะลุยเข้ามาในสุสานโบราณเพื่อค้นหากระดูกอาถรรพ์นั้น ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาสามารถสืบค้นข้อมูลจากในจิตใต้สำนึกของอวี้เหวินซิวเซียนจนพบว่า เผ่าพันธุ์ปีศาจมีเจตนาที่จะค้นหาของวิเศษชิ้นนี้นั่นเอง
เมื่อถูกสอบปากคำโดยเจ้าหน้าที่สายเลือดผู้อัญเชิญ ความลับก็ไม่มีในโลกอีกต่อไป
ไม่มีการปกปิด ไม่มีการเสแสร้ง
มีเพียงวิญญาณที่ถูกสำรวจจนถึงก้นบึ้งในหัวใจ
พวกเขาได้รับทราบข้อมูลมาว่าของวิเศษที่เรียกว่ากระดูกอาถรรพ์นั้น คือสิ่งที่จะช่วยทำให้ภูตอเวจีสามารถฟื้นฟูพลังกลับขึ้นมาได้เต็มประสิทธิภาพ
หากของสิ่งนี้ตกไปอยู่ในมือเผ่าพันธุ์ปีศาจเมื่อไหร่ มนุษย์ก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันอีกแล้ว
แม้แต่ทั่วเส้นทางดาราจักรก็จะต้องพบกับหายนะใหญ่หลวง
“เจอแล้ว”
อวี้พั่วเซียวปล่อยมือออกมาจากตัวของอวี้เหวินซิวเซียน ใบหน้าฉีกยิ้มด้วยความดีใจ “สถานที่ซ่อนกระดูกอาถรรพ์อยู่ตรงนั้น… ทุกคนระวังตัว ของวิเศษชิ้นนี้มีความร้ายกาจยิ่งนัก”
พรวด!
อวี้เหวินซิวเซียนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ก่อนถอนหายใจยาวแรง ดวงตาเหม่อลอยคล้ายคนไม่มีสติ
“งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
เฟิงเสี่ยวไป๋ยกร่างของอวี้เหวินซิวเซียนแบกขึ้นบนบ่า ก่อนจะเดินนำทางทุกคนตรงไปสู่ปลายทาง
ในไม่ช้า
พวกเขาก็เดินเข้าไปในส่วนลึกของเกาะกระดองเต่า
เดินตรงเข้าไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งอีกไม่ถึงร้อยก้าว หลุมลึกขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน
หรือถ้าจะใช้คำอธิบายว่าเป็น ‘ห้องเก็บกระดูก’ ก็น่าจะเหมาะสมมากกว่า
เพราะด้านในหลุมลึกนั้นได้เก็บโครงกระดูกมนุษย์ที่มีร่างกายสูงใหญ่โครงหนึ่งเอาไว้
โครงกระดูกมนุษย์นั้นนั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่กลางอากาศ โครงกระดูกกลายเป็นผลึกแก้วที่มีประกายแวววาว ไม่มีเลือดเนื้อ ไม่มีผิวหนัง แต่กลับน่าเกรงขามและสวยงามยิ่ง เมื่อผู้คนได้จ้องมองแล้วก็จะรู้สึกเหมือนตกอยู่ในมนต์สะกด
“ทุกคนระวัง อย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาด”
อวี้พั่วเซียวพูดด้วยสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาทันที “โครงกระดูกอาถรรพ์มีพลังทำลายล้างรุนแรง เป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจยุคโบราณทิ้งเอาไว้ แม้มันจะตายไปแล้วหลายพันปี แต่พิษปีศาจยังคงอยู่ สามารถก่อกวนจิตใจมนุษย์ ทำให้พวกเราเสียสติ และกลายร่างเป็นปีศาจในที่สุด”
“ถ้างั้นก็ทำลายมันทิ้งไปเถอะ”
ฟางเว่ยอ้ายกัดฟันกรอด แล้วกล่าวขึ้นอีกว่า “ถึงพวกเราเอามาก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี เราคงทำได้แต่เพียงทำลายมันทิ้งไปเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ของสิ่งนี้ตกไปอยู่ในมือของพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกครั้ง”
สมาชิกในคณะเดินทางพากันพยักหน้าเห็นด้วย
การนำกระดูกอาถรรพ์ออกไปจากที่นี่มีความเสี่ยงมากเกินไป
หากไม่ระมัดระวังมากพอ แม้แต่พวกเขาเองก็คงต้องตายอยู่ที่นี่
เฟิงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและกล่าวว่า “ประเสริฐ งั้นก็ทำลายมันเถอะ”
“เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
ฟางเว่ยอ้ายโคจรพลังปราณ กระบี่สามเล่มพลันลอยขึ้นมาที่เบื้องหน้า และเมื่อเขากระแทกฝ่ามือออกไป กระบี่ทั้งสามเล่มก็เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งตรงเข้าไปหาโครงกระดูกในหลุมนั้น
วูบ!
ในห้องเก็บโครงกระดูก ได้ยินเสียงมวลอากาศปั่นป่วน
กระบี่ทั้งสามเล่มนี้มีพลังโจมตีอยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 พวกมันหายวับเข้าไปในโครงกระดูกที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ
แต่แทนที่โครงกระดูกอาถรรพ์จะถูกทำลาย มันกลับดูดซับพลังจากลำแสงกระบี่ ทำให้กระดูกของตนเองเป็นประกายแวววาวมากขึ้น มิหนำซ้ำ มันยังปลดปล่อยปราณปีศาจสีม่วงออกมาคลุ้งเต็มห้องอีกด้วย
“ไม่ต้องลงมือแล้ว”
เฟิงเสี่ยวไป๋รีบยกมือห้ามโดยทันที “ความสามารถของพวกเราคงไม่อาจทำลายกระดูกอาถรรพ์นี้ได้… นอกจากทำลายไม่ได้ เรายังจะไปทำให้มันแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย หากมันมีพลังเพียงพอเมื่อไหร่ โครงกระดูกนี้ก็จะฟื้นตื่นขึ้นมา แล้วพวกเราก็คงไม่มีโอกาสได้กลับออกไปจากที่นี่อีก...”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราสมควรทำอย่างไร?”
อวี้พั่วเซียวถาม “หากทำลายไม่ได้ นั่นก็เท่ากับเรามาที่นี่โดยเปล่าประโยชน์น่ะสิ?”
เฟิงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “บัดนี้ พวกเราคงทำได้แต่รอคอย”
“รอคอย?”
เซินฉงหยาง ตัวแทนผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งจากตระกูลเซินขมวดคิ้วนิ่วหน้าและกล่าวว่า “รอนานมากไปกว่านี้ พวกปีศาจก็มาถึงกันพอดี พวกเราไม่มีเวลาอีกแล้ว ยังจะต้องรอคอยผู้ใดอีก?”
“ข้ากำลังรอคอย…”
เฟิงเสี่ยวไป๋กำลังจะตอบคำถาม
พลั่ก!
ทันใดนั้น ฝ่ามือของใครบางคนก็กระแทกเข้าใส่เต็มแผ่นหลังของท่านผู้คุมสภา
พลังปราณอัดแน่น
เฟิงเสี่ยวไป๋ไม่ทันตั้งตัว ร่างกายเซถลามาข้างหน้า โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก
คนที่โจมตีเขากลับเป็นฟางเว่ยอ้าย
“ผู้อาวุโสฟาง ท่าน...”
“ท่านประมุขฟาง ท่านทำอะไรลงไป?”
สมาชิกคนอื่น ๆ ตกตะลึง รีบตีวงล้อมฟางเว่ยอ้ายด้วยความตื่นตระหนก
เฟิงเสี่ยวไป๋แสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าผู้ที่ลอบโจมตีตนเองจะกลายเป็นฟางเว่ยอ้ายซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยฟางเว่ยอ้ายคือสหายสนิทที่สุดของเขาจากในสภาขุนนางแล้ว!
“อ๊ากกก...”
พลัน ฟางเว่ยอ้ายส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ดวงตากลายเป็นสีม่วง
ผิวหนังมีเส้นเลือดปูดโปน รูขุมขนปลดปล่อยไอปีศาจสีม่วงเข้มออกมา ใบหน้าของบัณฑิตเคร่งตำราก็กลายเป็นสีม่วงเข้มไปแล้วเช่นกัน
นี่คือสภาวะที่ถูกปราณปีศาจเข้ากลืนกิน
“เขาถูกปราณปีศาจแทรกซึม”
อวี้พั่วเซียวอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หรือว่าก่อนหน้านี้…”
ทันใดนั้น ทุกคนก็จำได้ว่าฟางเว่ยอ้ายได้รับบาดเจ็บตอนที่บินผ่านทะเลทรายโครงกระดูก
แต่นั่นเป็นอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ฟางเว่ยอ้ายจะถูกปราณปีศาจจำนวนมหาศาลกลืนกินสติสัมปชัญญะในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?
หรือว่าที่นี่จะเป็นกับดัก?
สังหรณ์อัปมงคลบังเกิดในจิตใจของทุกคน
“ฮ่า ๆๆ พวกเจ้ายังจะรอผู้ใดอยู่อีก?”
อวี้เหวินซิวเซียนซึ่งเหม่อลอยเหมือนคนไม่มีสติพลันกลับมามีดวงตาสดใสเป็นประกาย ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ “พวกเจ้าคงรอสองผู้ยิ่งใหญ่จากตระกูลหลิงให้มาช่วยเหลือสินะ น่าเสียดาย ดูเหมือนพวกเขาคงไม่ได้มีโอกาสมาช่วยเหลือพวกเจ้าอีกแล้ว”
ร่างกายนั้นเป็นของอวี้เหวินซิวเซียน
แต่เสียงที่พูดออกมาเป็นเสียงของสตรี
ท่านผู้คุมสภาเฟิงเสี่ยวไป๋พลันจดจำได้ขึ้นมาทันที สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไป “เจ้าคือหัวหน้าภูตอเวจีใช่หรือไม่?”