เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1654 หลบหนีด้วยความตื่นเต้น
ตอนที่ 1,654 หลบหนีด้วยความตื่นเต้น
หลิงเฉินขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด นางถึงรู้สึกคุ้นเคยกับปีศาจตัวนี้ชอบกล
องค์ชายหลิงเยวียนหลงตกตะลึงและไม่แน่ใจ
แรงระเบิดในกลุ่มหมอกควันเมื่อสักครู่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม
และโครงกระดูกผีตัวนั้นก็พร้อมด้วยลูกสมุนของมันอีกเก้าตัวก็ไม่ทราบเลยว่าปรากฏกายขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่…
เพียงมองดูก็รู้แล้วว่าเป็นพวกปีศาจที่มีพลังแข็งแกร่ง
จัดการได้ไม่ง่าย
ด้วยเหตุนี้ องค์ชายหลิงเยวียนหลงจึงยังไม่กล้าลงมือ
เพราะฉะนั้น เฟิงเสี่ยวไป๋และพรรคพวกจึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ในเมื่อองค์ชายหลิงเยวียนหลงเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใด ๆ
คณะสำรวจสุสานโบราณเพียงรู้สึกได้ถึงพลังกดดันหนักหน่วง
“เจ้าพวกมนุษย์ผู้ต่ำต้อย อยากตายกันมากนักใช่หรือไม่?”
หัวหน้ากลุ่มโครงกระดูกผีระเบิดเปลวไฟสีม่วงด้วยความเกรี้ยวกราด เบ้าตาที่มีเปลวไฟสีม่วงลุกโชนอยู่ในนั้นจ้องมองมาที่องค์ชายหลิงเยวียนหลงด้วยความดุร้าย
เห็นได้ชัดว่ามันกำลังจะตอบโต้กลับมาแล้ว
เม็ดเหงื่อพลันปรากฏขึ้นบนข้างขมับซ้ายขององค์ชายหลิงเยวียนหลง
เขาไม่เคยพบเจอสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มาก่อน... ว่าแต่เจ้าโครงกระดูกผีพวกนี้ถือเป็นสิ่งมีชีวิตได้หรือไม่?
เหตุไฉนข้อมูลที่ได้รับทราบมาก่อนหน้านี้ถึงไม่มีการกล่าวถึงหัวหน้ากลุ่มโครงกระดูกผีตัวนี้เลย? ไม่ว่าจะเป็นในอาณาจักรหลิวเยวียน อาณาจักรซือเว่ย หรือในดินแดนเกิงจิน พวกเขาก็ไม่เคยทราบข้อมูลเลยว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมีสมาชิกที่แข็งแกร่งถึงระดับนี้อยู่ด้วย
หัวหน้าโครงกระดูกผีตัวนี้เป็นผู้ใดกันแน่?
เมื่อรู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นและจิตสังหารของฝ่ายตรงข้าม ไอน้ำเดือดก็พุ่งออกมาจากข้อต่อของชุดเกราะองค์ชายหลิงเยวียนหลงจนไอน้ำเหล่านั้นกลายเป็นชั้นพลังหนาแน่น
มือกระชับด้ามจับค้อนคว่ำนภาแนบแน่น
“ลุงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน เจ้ารีบใช้โอกาสนี้หลบหนีไปก่อนเถอะ”
เขาแอบกระซิบบอกต่อหลิงเฉิน
หลิงเฉินไม่ได้พูดคำใด
เฟิงเสี่ยวไป๋และพรรคพวกได้รับการสื่อสารจากองค์ชายหลิงเยวียนหลงผ่านทางพลังจิตว่า หากสถานการณ์ย่ำแย่ไปมากกว่านี้ พวกเขาก็สามารถหลบหนีไปได้ทันที
การต่อสู้กำลังจะอุบัติขึ้น
แต่ทันใดนั้น…
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หัวหน้ากลุ่มโครงกระดูกอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล มันก้มหน้ามองภูตอเวจีสาวที่อยู่ในอ้อมแขน เห็นได้ชัดถึงความตื่นตระหนก
โลหิตสีม่วงไหลทะลักออกมาจากร่างกายของภูตอเวจีสาว
นางได้รับบาดเจ็บสาหัส
หัวหน้ากลุ่มโครงกระดูกผีกอดคนรักของมันแนบแน่น ก่อนจะหันมาจ้องมองคณะสำรวจสุสานด้วยความอาฆาตแค้น “ฮึ่ย ฮึ่ย เจ้าพวกมนุษย์โสโครก กล้าดีอย่างไรถึงมาทำร้ายสุดที่รักของข้า พวกเจ้าจะต้องชดใช้… ฝากไว้ก่อนเถอะ”
พูดจบ มันก็อุ้มร่างภูตอเวจีสาวหมุนตัวเดินจากไป
ได้ยินเหมือนเสียงฟ้าคำรามดังขึ้นในอากาศ
หลังจากนั้น เจ้าหัวหน้ากลุ่มโครงกระดูกผีก็ทำท่าเหมือนกำลังขี่ม้ากลางอากาศ แล้วร่างของมันก็พุ่งเป็นลำแสงความเร็วสูงหายวับไปในทะเลทรายแห่งโครงกระดูก หลงเหลือไว้เพียงกลุ่มหมอกขาวให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
ด้วยความเร็วระดับนี้…
เร็วเกินกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตพลังขั้นจอมเทพจักราด้วยซ้ำ
ดวงตาขององค์ชายหลิงเยวียนหลงเบิกโต
นับเป็นโชคดีที่การต่อสู้ไม่เกิดขึ้น
โครงกระดูกผีอีกเก้าตัวก็ค่อย ๆ ล่าถอยไปอย่างเชื่องช้า หลังจากนั้น พวกมันก็หันหลังกลับและหายวับไปในกลุ่มหมอกขาวเช่นกัน
บนเกาะกระดองเต่าที่กลายเป็นซากปรักหักพัง
ทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
คิดไม่ถึงเลยว่าเพราะต้องการจะกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ภูตอเวจีสาว เจ้าหัวหน้ากลุ่มโครงกระดูกผีผู้น่ากลัวนั่นจึงเลือกที่จะไม่ต่อสู้
ในหัวใจของทุกคนรับรู้ได้ถึงความโชคดีของตนเอง
มีแต่เพียงหลิงเฉินเท่านั้นที่ยังนิ่งเงียบสงบเยือกเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ
นางจ้องมองไปยังทิศทางที่หัวหน้ากลุ่มโครงกระดูกผีหายตัวไป แววตาคู่นั้นสับสน
“ไม่มีทาง”
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงใครบางคนอุทานขึ้นมา
กลุ่มคนหันหน้ากลับไปมอง
และพวกเขาก็ได้พบเข้ากับอวี้พั่วเซียวประมุขตระกูลอวี้ผู้สวมใส่หน้ากากโครงกระดูก ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน แต่แววตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นบอกชัดถึงความเคลือบแคลงสงสัย
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าโครงกระดูกผีนั่นเพียงใช้อาการบาดเจ็บของภูตอเวจีเป็นข้ออ้างในการหลบหนีไปเท่านั้น มันไม่ได้ต้องการต่อสู้กับพวกเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว…”
ทุกคนตกตะลึง
บางคนอยากจะหาข้อโต้แย้ง
แต่สุดท้าย ไม่มีผู้ใดพูดคำใดออกมา
ในคณะเดินทางหากละเว้นเฟิงเสี่ยวไป๋เอาไว้สักคน สมาชิกส่วนที่เหลือล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ เมื่อพิจารณาเหตุการณ์โดยละเอียด พวกเขาก็รู้สึกว่าข้อสังเกตของอวี้พั่วเซียวก็มีเหตุผลน่ารับฟัง
องค์ชายหลิงเยวียนหลงขมวดคิ้วใช้ความคิด
หลิงเฉินยังคงนิ่งเงียบ
ทุกคนรู้แล้วว่าดูเหมือนตนเองจะถูกหลอก
“พวกเราไล่ตามไปดีหรือไม่?”
ใครคนหนึ่งถามขึ้นมา
องค์ชายหลิงเยวียนหลงส่ายศีรษะและกล่าวตอบอย่างเชื่องช้าว่า “พวกเราเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งวัน สุสานกำลังจะปิดตัวแล้ว กฎแห่งกาลเวลาในสถานที่นี้แตกต่างจากโลกภายนอก แม้แต่พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยังเลือกที่จะหลบหนีออกไปก่อนที่สุสานจะปิดตัวลง เพราะมิเช่นนั้นแล้ว พวกเราอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลไม่มีทางออก พวกเรารีบออกไปดักรอพวกมันที่ข้างนอกกันก่อนดีกว่า”
…
“โอ๊ย กว่าจะหนีออกมาได้ ใจหายใจคว่ำหมด”
หลินเป่ยเฉินบิดคันเร่งนำมอเตอร์ไซค์พุ่งทะยานไปข้างหน้าเป็นลำแสงสายฟ้าฟาด
เขาไม่อยู่รอโครงกระดูกลูกสมุนทั้งเก้าตัวนั้นด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าพวกขององค์ชายหลิงเยวียนหลงไม่ได้ไล่ตามมา เด็กหนุ่มจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ยังจะแกล้งตายอยู่อีกหรือ?”
เขาเขย่าร่างของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงที่อยู่ในอ้อมแขนและกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าท่านฟื้นขึ้นมาตั้งนานแล้ว เลิกเสแสร้งเสียที”
“เจ้า…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงลืมตาตื่นขึ้นมาในทันใด “แต่เจ้าก็ใช้โอกาสนี้ลวนลามข้าไปไม่น้อยแล้วไม่ใช่หรือ?”
หากพวกขององค์ชายหลิงเยวียนหลง เฟิงเสี่ยวไป๋และคนอื่น ๆ มาเห็นภาพนี้เข้า พวกเขาก็คงต้องเบิกตาโตจนดวงตาแทบถลนหลุดออกจากเบ้า ภูตอเวจีสาวผู้เย็นชาอำมหิต บัดนี้ กลับกลายเป็นสตรีที่ขี้เล่นซุกซนผู้หนึ่ง
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เขาตอบตะกุกตะกัก
“ใช่ เจ้าไม่ได้ตั้งใจ แต่เจ้าเจตนาต่างหาก”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะในลำคอ
บาดแผลบนร่างกายของนางสมานตัวดีแล้ว
“ต่อให้เจตนาแล้วจะทำไม?”
หลินเป่ยเฉินสวนกลับไปเสียงแข็งกระด้าง “ข้าช่วยชีวิตท่านเอาไว้นะ ถือว่าเป็นผลตอบแทนความดีของข้าก็แล้วกัน ท่านอย่าลืมสิว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด พวกเขามีจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตอนปลายถึงแปดคน มีจอมเทพจักรพรรดิสองคน และมีจอมเทพจักราอีกหนึ่งคน มิหนำซ้ำ อาวุธคู่กายของพวกเขายังเป็นเครื่องมือเล่นแร่แปรธาตุระดับสูงอย่างวัตถุมโนหิรัญและค้อนคว่ำนภา ท่านคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายสำหรับข้าหรือ? ข้าแค่ขอจับตรงนั้นนิดจับตรงนี้หน่อยให้พอได้ช่วยชุบชูหัวใจบ้างไม่ได้หรืออย่างไร?”
“เฮอะ!”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน “ถ้าอย่างนั้นก็จับต่อไปเถอะ ข้าอนุญาต”