เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1656 ใกล้หมดเวลา
ตอนที่ 1,656 ใกล้หมดเวลา
ห่างไกลออกไป ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสก็ค่อย ๆ หม่นแสงลง แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีดวงตะวันตกดินหรอก แต่มันเป็นการตั้งเวลาของค่ายอาคมที่ปกคลุมเมืองใต้ดินแห่งนี้อยู่ต่างหาก
สภาพแวดล้อมรอบตัวเริ่มมืดมิดมากยิ่งขึ้น
ห่างออกไปไม่ไกล หุ่นประกอบองครักษ์ของหลินเป่ยเฉินยืนโดดเด่นเป็นสง่ามีเปลวไฟสีม่วงลุกโชนอยู่ท่ามกลางความมืด
ชั่วขณะนั้น ภายในเมืองร้างดูเหมือนจะเริ่มมีแสงตะเกียงถูกจุดขึ้นมาตามบริเวณต่าง ๆ
เกิดเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก
“เจ้าไปเถอะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาบ้าง
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว “ท่านไม่ไปด้วยกันหรือ? เดี๋ยวข้าจะคุ้มครองท่านไปจนถึงทางออกเอง”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่ายหน้า พลางตอบว่า “ไม่เป็นไร ข้ามีวิธีดูแลตนเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้ารีบกลับไปเถอะ ประเดี๋ยวพวกเขาจะสงสัยเอาได้ โดยเฉพาะคนรักของเจ้า นางฉลาดมาก นางคงดูออกได้ไม่ยากว่าปีศาจที่เข้ามาช่วยเหลือข้าก็คือเจ้า”
“เข้าใจแล้ว”
หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงคงไม่อยากมีปัญหายุ่งยากมากไปกว่านี้ เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย ยิ้มเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “แต่ท่านก็รู้ดีนี่นาว่าข้ามีคนรักอยู่แล้ว ท่านยังกล้ามายั่วยวนข้าถึงเพียงนี้ ไม่ทราบว่าระหว่างเราคืออะไรกันแน่?”
“เราหรือ? เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเชิดหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ จ้องมองใบหน้าหลินเป่ยเฉินอย่างท้าทาย
หัวใจของเด็กหนุ่มเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าไปล่ะ”
หลังจากนั้น เขาก็กระโดดลงมาจากขอบกำแพงเมือง
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงโบกมือบ๊ายบายโดยไม่เหลียวหน้ามองกลับมา “ลาก่อนนะ เจ้าเด็กตัวเหม็น”
หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นไปสตาร์ตเครื่องมอเตอร์ไซค์ กำลังจะบิดคันเร่งก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงด้วยสิ หากท่านกลับไปแล้ว ช่วยจัดการพวกคนตระกูลฮั่วให้ด้วยล่ะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เข้าใจแล้ว… ข้าจะจัดการให้”
แว้นนนน!
แล้วร่างของหลินเป่ยเฉินก็หายวับไปจากสายตา
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงนั่งอยู่บนกำแพงเมือง เฝ้ามองท้องฟ้าเปลี่ยนสีด้วยความเงียบเหงา
สายลมเป่าเส้นผมของนางพลิ้วไสว
ทันใดนั้น หญิงสาวก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
แล้วเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น
ร่างสีม่วงร่างหนึ่งกระเด็นออกมาจากร่างของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงและยืนหยัดอยู่เคียงข้างนาง
ร่างสีม่วงร่างนั้นตอนแรกยังไม่มีรูปทรงแน่ชัด มันเป็นเสมือนก้อนดินเหนียวที่ถูกปั้นให้เป็นรูปร่างมนุษย์อย่างหยาบ ๆ แต่เพียงไม่นาน ดินเหนียวก้อนนั้นก็กลายเป็นรูปร่างมนุษย์ผู้หนึ่งอย่างชัดเจน
ย่อมต้องเป็นอวี้เหวินซิวเซียน
ร่างกายของเขาปกคลุมด้วยพลังปราณปีศาจ
อวี้เหวินซิวเซียนลืมตาขึ้นมากวาดมองสภาพแวดล้อมรอบตัวด้วยความประหลาดใจ
จากนั้นสายตาของเขาก็มาหยุดอยู่ที่ร่างของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ดวงตาของชายหนุ่มฉายประกายเคารพเทิดทูน อวี้เหวินซิวเซียนรีบคุกเข่าข้างเดียวทำความเคารพว่า “คารวะองค์หญิง”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าแววตามีแต่ความเย็นชา แตกต่างจากบุคลิกตอนที่อยู่กับหลินเป่ยเฉินเสมือนเป็นคนละคน
นางกล่าวถามเสียงเรียบ “เจ้าเกือบตายด้วยอาวุธเล่นแร่แปรธาตุระดับ 70 ยังพึงพอใจอยู่อีกหรือ?”
อวี้เหวินซิวเซียนชะงักไปเล็กน้อย แต่แล้วก็ยิ้มกว้าง
“กราบทูลองค์หญิง บัดนี้ร่างกายของกระหม่อมแข็งแกร่งขึ้นแล้ว อีกไม่นาน กระหม่อมจะต้องเลื่อนขั้นขึ้นสู่ขอบเขตจอมปีศาจจักราได้แน่นอน”
อวี้เหวินซิวเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
หลังจากหยุดชะงักไปอีกเล็กน้อย เขาก็กล่าวว่า “แผนการขององค์หญิงสำเร็จลงด้วยดี พวกขององค์ชายหลิงคงถูกฝังอยู่ที่เกาะกระดองเต่าแล้วกระมัง?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่ายศีรษะ ก่อนตอบว่า “แผนการล้มเหลว ข้าไม่สามารถใช้กระดูกอาถรรพ์ฆ่าพวกองค์ชายหลิงได้ตามที่คิดเอาไว้”
“ล้มเหลว?”
อวี้เหวินซิวเซียนแสดงสีหน้าตกตะลึง
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการ ตราบใดที่ไปถึงห้องเก็บกระดูกอาถรรพ์ แม้องค์ชายหลิงยื่นมือเข้ามาแทรกแซง ก็ไม่มีทางขัดขวางแผนการนายหญิงของเขาได้เด็ดขาด นับประสาอะไรกับพวกเฟิงเสี่ยวไป๋จากสภาขุนนางเหล่านั้น
แล้วแผนการล้มเหลวได้อย่างไร?
อวี้เหวินซิวเซียนไม่กล้าถาม
วูบ!
แล้วร่างของคนผู้หนึ่งที่มีเขางอกขึ้นมาบนหน้าผากก็ทิ้งตัวลงมาคุกเข่าข้างเดียวอยู่เบื้องหน้าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ก่อนทำความเคารพด้วยความนอบน้อม “คารวะองค์หญิง”
หากเฟิงเสี่ยวไป๋อยู่ที่นี่ เขาก็ต้องจดจำคนผู้นี้ได้อย่างแน่นอน เพราะคนผู้นี้คือสหายสนิทของเขาฟางเว่ยอ้าย ประมุขตระกูลฟาง หนึ่งในเก้าตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลันจี๋ซิง
ปรากฏว่าเขากลายเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์แล้ว
“ของอยู่ที่ใด?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยื่นมือออกมาข้างหน้า
ปีศาจฟางเว่ยอ้ายยื่นมือส่งมอบอะไรบางอย่าง
ของสิ่งนั้นคือกระดูกผลึกแก้วสีม่วงจากหัวกระโหลกที่แตกละเอียดเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
เศษกระดูกอาถรรพ์
ฝ่ายมนุษย์เข้าใจว่ากระดูกอาถรรพ์ถูกทำลายเสียหายไปหมดสิ้น
แต่ในความเป็นจริง มันเป็นเพียงกลลวงเท่านั้น
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยื่นนิ้วมือขาวเนียนของตนเองไปแตะลงบนเศษกระดูกชิ้นนั้น
พรึ่บ!
เศษกระดูกพลันระเบิดกระจายเป็นผุยผง
ฝุ่นผงสีม่วงที่กระจายอยู่ในอากาศถูกนางดูดเข้าสู่ภายในปากหมดสิ้น
พวกเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าใจว่านางต้องการรวมร่างกับโครงกระดูกอาถรรพ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนเอง
ฮ่า ๆๆ
ช่างน่าตลกเหลือเกิน
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงต้องการเพียงพลังที่เก็บอยู่ในโครงกระดูกเท่านั้น
ส่วนตัวโครงกระดูกน่ะหรือ?
มันไม่ได้มีค่าอันใดเลยสักนิด
“ประเสริฐ พวกเราออกไปจากที่นี่กันดีกว่า”
รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง “ข้าเชื่อว่าในเวลานี้ พวกตระกูลฮั่วคงทำตามแผนการของเราสำเร็จแล้ว เมืองหลันจี๋ซิงจะต้องตกเป็นอาณาเขตของเผ่าพันธุ์ปีศาจโดยสมบูรณ์”
หากไม่นับเหตุการแทรกแซงที่ตนเองถูกช่วยเหลือโดยหลินเป่ยเฉิน… สิ่งที่เกิดขึ้นในสุสานใต้ดิน ล้วนแต่เป็นไปตามการคาดเดาของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงทั้งสิ้น
กว่าที่พวกขององค์ชายหลิงจะกลับออกไปจากสุสานใต้ดินแห่งนี้ได้สำเร็จ เมืองหลันจี๋ซิงก็คงเปลี่ยนผู้ปกครองไปเรียบร้อยแล้ว
…
หลินเป่ยเฉินไม่ได้มุ่งหน้าออกจากสุสานใต้ดินโดยทันที
เพราะเขากลับไปตามหาโครงกระดูกทั้งเก้าที่เป็นลูกสมุนของตนเองก่อน
พวกมันมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
สามารถใช้ให้ไปทำงานอันตรายในสถานการณ์คับขันได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
ดังนั้น จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามการนำทางของแอปไป่ตู้ แมป หลินเป่ยเฉินก็พบว่าเจ้าโครงกระดูกผีทั้งเก้ากำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในทะเลทรายแห่งโครงกระดูก
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินประหลาดใจก็คือ แม้พวกมันจะอยู่ท่ามกลางโครงกระดูกมากมาย แต่วิญญาณปีศาจแห่งสนามรบเหล่านี้กลับไม่สนใจกระดูกเหล่านั้นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
หรือเป็นเพราะว่าชิ้นส่วนกระดูกเหล่านี้ไม่มีพลังวิญญาณ?
หลินเป่ยเฉินส่งสัญญาณเรียกหาให้โครงกระดูกทั้งเก้ามายืนเรียงแถว ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ให้แก่พวกมัน