เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1660 ฝากบอก
ตอนที่ 1,660 ฝากบอก
เมื่อภูตอเวจีสาวออกมาเผชิญหน้ากับพวกขององค์ชายหลิงเยวียนหลง การต่อสู้ที่แสนดุเดือดจึงอุบัติขึ้น
การต่อสู้เกิดขึ้นเหนือปากทางเข้าถ้ำใต้ดิน
ผลการต่อสู้ปรากฏว่าองค์ชายหลิงเยวียนหลงพ่ายแพ้ให้แก่ภูตอเวจีสาว!
…เพียงประมือกันได้สามกระบวนท่าเท่านั้น องค์ชายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่โชคดีที่เขาครอบครองวัตถุเล่นแร่แปรธาตุระดับสูงอย่างค้อนคว่ำนภา องค์ชายหลิงเยวียนหลงจึงรอดชีวิตและสามารถนำพวกของหลิงเฉินหลบหนีไปได้สำเร็จ…
การต่อสู้ในรูปแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเมืองหลันจี๋ซิงเท่านั้น
แต่มันเกิดขึ้นไปทั่วอาณาจักรหลิวเยวียน
เผ่าพันธุ์ปีศาจขยายอำนาจครอบคลุมทั่วดินแดน
เมื่อหลินเป่ยเฉินรับทราบสถานการณ์ดังนี้ เขาก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
ตอนอยู่ในสุสานใต้ดิน เห็นได้ชัดว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสู้องค์ชายหลิงเยวียนหลงไม่ได้ชัด ๆ หากเขาไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ นางก็คงสิ้นชีพไปแล้ว
แต่เหตุไฉนเมื่อกลับออกมาจากสุสานใต้ดิน เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจึงสามารถเอาชนะองค์ชายหลิงเยวียนหลงได้ภายในสามกระบวนท่าเท่านั้น?
ตอนนั้นนางแกล้งเล่นละครอยู่หรือ?
หรือว่านางมีพลังเพิ่มขึ้นในภายหลัง?
หลินเป่ยเฉินเดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมต้าเฟิง
เขาได้รับการบอกเล่าจากผู้คนว่านักพรตหญิงชิน หวังจงและคนอื่น ๆ ได้รับเทียบเชิญให้มายังโรงเตี๊ยมต้าเฟิง หลังการยึดอำนาจในเมืองหลันจี๋ซิงเกิดขึ้นเพียงไม่นาน
“ท่านปีศาจที่รับตัวแม่นางชินและคนอื่น ๆ ไปนั้น ทิ้งข้อความเอาไว้ว่าหากคุณชายผู้เข้าพักในห้องหมายเลขหนึ่ง บนชั้นที่สามสิบสามกลับมาอยากพบเจอสหายของเขา ก็ให้ไปเข้าพบท่านปีศาจเฉาคงได้โดยตรงที่ฐานบัญชาการปีศาจต้าเฟิงขอรับ”
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมประจำชั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ
หลินเป่ยเฉินจึงออกมาจากโรงเตี๊ยมต้าเฟิงทันที
“แต่ฟังจากน้ำเสียงของผู้ดูแลแล้ว ที่รักของเราน่าจะยังไม่เป็นอันตรายอะไรมั้ง”
หลินเป่ยเฉินคิดเช่นนั้น
แต่เขาก็รีบบุกไปยังฐานบัญชาการแห่งนั้นโดยเร็วที่สุด
ฐานบัญชาการปีศาจที่ปีศาจหญิงเฉาคงดูแลอยู่เป็นหนึ่งในสามฐานปีศาจสำคัญของสำนักอัสนีมืด และก่อนหน้านี้ มันก็เคยเป็นที่ตั้งฐานบัญชาการของกองทัพต้าเฟิงมาก่อน
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปแสดงตัวที่หน้าทางเข้าฐานบัญชาการ
หลังจากนั้นไม่นาน
“คุณชายหลิน พวกเราได้พบเจอกันอีกแล้ว”
ปีศาจหญิงเฉาคงผู้มีร่างกายบึกบึนและมีความสูงมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่าออกมาต้อนรับเขาด้วยตนเอง
กลุ่มปีศาจในบริเวณนั้นล้วนตกตะลึง
เพราะภายในสำนักอัสนีมืด นอกจากท่านหัวหน้าภูตอเวจีแล้ว ท่านปีศาจหญิงเฉาคงก็ไม่เคยแสดงท่าทีเป็นมิตรกับผู้ใดถึงเพียงนี้มาก่อน
และก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินกับท่านปีศาจหญิงเฉาคงก็เคยต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงมาแล้ว
บนเรือเหาะรุ่งอรุณ ท่านปีศาจหญิงเฉาคงพยายามยั่วยุหลินเป่ยเฉินเพื่อหาข้ออ้างในการลงมือสังหารเขา
หากวันนั้นเฟิงเสี่ยวไป๋มาช่วยเหลือไม่ทันเวลา ป่านนี้หลินเป่ยเฉินก็คงตายไปแล้ว
แต่กาลเวลาเปลี่ยนแปลง ผู้คนย่อมเปลี่ยนไป
ระดับพลังของหลินเป่ยเฉินสูงส่งมากขึ้น ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าข้างกายเขามีองครักษ์ระดับจอมเทพจักรพรรดิอย่างเจ้าแดง 1 กับเจ้าแดง 2 อยู่อีกถึงสองตัว หากจะให้ต่อสู้กันอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องหวาดกลัวปีศาจหญิงเฉาคงอีกแล้ว
และบัดนี้ เขาก็รู้สึกดีใจยิ่งนักที่ได้พบเจอนาง
“นี่เจ้าไปถูกใครทำร้ายทุบตีมาหรือ?”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองใบหน้าของปีศาจหญิงเฉาคง ซึ่งมีเบ้าตาบวมช้ำ กระดูกแขนหักผิดรูป ชัดเจนว่าถูกทำร้ายร่างกายมาอย่างหนักหน่วง
“เหอ ๆๆ… นี่คือบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้กับองค์ชายหลิงเยวียนหลง”
ปีศาจหญิงเฉาคงตอบด้วยสีหน้าเย็นชา
“จริงหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตั้งข้อสงสัย
ปีศาจหญิงเฉาคงตอบว่า “ย่อมเป็นความจริง”
นี่ไม่ใช่ความจริงแน่นอน!
เพราะว่านางถูกทุบตีโดยท่านหัวหน้าภูตอเวจี
เพราะก่อนที่จะแยกจากกันในสุสานใต้ดิน หลินเป่ยเฉินได้เคยขอร้องให้เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงช่วยสั่งสอนปีศาจหญิงเฉาคงสักหน่อย
ปีศาจหญิงเฉาคงก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพราะเหตุใด ท่านหัวหน้าภูตอเวจีเมื่อกลับมาจากการทำภารกิจ ท่านก็ตรงเข้ามาทุบตีนางอย่างไม่สนใจรับฟังสิ่งใดทั้งสิ้น แม้ว่าปีศาจหญิงเฉาคงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยไม่มีข้อบกพร่องเลยก็ตาม
ช่างเป็นเรื่องราวที่ไม่มีเหตุผลยิ่งนัก
เป็นเพราะเหตุใดกันแน่?
แต่ด้วยการทุบตีครั้งนี้เอง ปีศาจหญิงเฉาคงจึงไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายของความอิจฉาริษยาจากกลุ่มผู้อาวุโสปีศาจตัวอื่น ๆ
ดังนั้น ปีศาจหญิงเฉาคงจึงพยายามคิดว่านี่เป็นแผนการของท่านหัวหน้ากลุ่มภูตอเวจีนั่นเอง
“ข้ามารับคน”
หลินเป่ยเฉินเปิดฉากพูดตรงเข้าประเด็นทันที “สหายของข้าในโรงเตี๊ยมต้าเฟิงได้ถูกคนของเจ้าพาตัวมา บัดนี้ ข้าจะมารับตัวพวกเขากลับไป ไม่ทราบว่าเจ้าจะขัดขวางหรือไม่?”
ปีศาจหญิงเฉาคงตอบกลับว่า “ไม่มีสิ่งใดให้ขัดขวาง เชิญตามข้ามาเถอะ”
แล้วทั้งสองก็เดินตรงเข้าไปในอาคารซึ่งเคยเป็นตึกบัญชาการของกองทัพต้าเฟิง พวกเขาขึ้นไปที่ชั้นเก้า เจ้าหน้าที่ปีศาจผู้หนึ่งนำน้ำชาและผลไม้มารับรองด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อมเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้น ปีศาจหญิงเฉาคงก็สั่งให้ลูกสมุนไปพาตัวพวกของนักพรตหญิงชินออกมา
หลังจากนั้น นางก็เดินไปนั่งหลังโต๊ะไม้ขนาดใหญ่และผายมือเชิญให้หลินเป่ยเฉินนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ฝั่งตรงข้าม “คุณชายหลินเป็นแขกคนพิเศษของพวกเรา ไม่ถือว่าเป็นศัตรูอันใด หากท่านยินดีเข้าร่วมกับสำนักอัสนีมืด ข้าก็จะแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากลุ่มผู้อาวุโสใหญ่ประจำเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่ทราบว่าคุณชายหลินสนใจหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองเข้าไปในดวงตาของฝ่ายตรงข้ามและถามกลับไปว่า “เจ้าหมายถึงตำแหน่งภูตอเวจีสินะ?”
ปีศาจหญิงเฉาคงส่ายหน้า “ไม่ใช่”
“งั้นก็ไม่ต้องมาชวน”
หลินเป่ยเฉินแสดงรอยยิ้มเหยียดหยามออกมาบนใบหน้า
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มสื่อความหมายว่าแม้แต่ตัวปีศาจหญิงเฉาคงเองก็ยังสู้องค์ชายหลิงเยวียนหลงไม่ได้ แล้วยังจะมีหน้ามาเสนอ ‘การจ้างงาน’ ให้เขาอีกได้อย่างไร?
ปีศาจหญิงเฉาคงยังคงไม่ยอมแพ้ “ท่านจะมีสถานะสูงส่งไม่ต่างจากหัวหน้าตระกูลของเผ่าพันธุ์มนุษย์…”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก
เป็นหัวหน้าตระกูลแล้วจะอย่างไร?
ไม่เห็นน่าสนใจตรงไหน
เลิกตื๊อสักทีได้ไหม?
เด็กหนุ่มยังคงปฏิเสธอย่างหนักแน่น
“นับจากวันแรกที่ข้ามาถึงเมืองหลันจี๋ซิง ข้าก็บอกกับตนเองเสมอว่าข้าจะต้องปกป้องเมืองนี้ให้ได้… แต่คิดไม่ถึงเลยว่าข้ายังไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด เมืองนี้ก็ตกเป็นของพวกเจ้าไปเสียแล้ว โชคดีที่เจ้าไม่ได้เข่นฆ่าผู้คนบริสุทธิ์ มิเช่นนั้น เราคงไม่ได้มีโอกาสมานั่งสนทนากันอย่างสงบสุขเช่นนี้แน่…”
หลินเป่ยเฉินไม่ต้องกล่าวจนจบ
ปีศาจหญิงเฉาคงก็เข้าใจความหมายของเขาดี
เหตุผลที่นางพยายามชักชวนหลินเป่ยเฉินมาเป็นพรรคพวกโดยมอบตำแหน่งอันสูงส่งให้นั้น เป็นเพราะปีศาจหญิงเฉาคงทราบว่าท่านหัวหน้ากลุ่มภูตอเวจีชื่นชอบเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น นางจึงปฏิบัติกับเขาดีมากกว่าผู้คนปกติ
แต่ดูเหมือนความพยายามของปีศาจหญิงเฉาคงจะล้มเหลว
ในไม่ช้า นักพรตหญิงชิน หวังจง และเจ้าจักจั่นทองคำก็ถูกนำตัวเข้ามาในห้อง
ทุกคนไม่ได้มีลักษณะว่าถูกทำร้ายแต่อย่างใด
“ข้านำตัวทุกคนมาอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มครอง ไม่ใช่เพื่อคุมขัง”
ปีศาจหญิงเฉาคงอธิบาย
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“บอกนายท่านของเจ้าด้วยว่าข้าเป็นห่วงอาณาจักรหลิวเยวียน ไม่ว่านางคิดทำสิ่งใดอยู่ ก็ให้เมตตากับเผ่าพันธุ์มนุษย์หน่อยแล้วกัน”
พลัน หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่ประตู