เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1669 บรรลุขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 1,669 บรรลุขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์
การดูดซับพลังปราณจากชั้นบรรยากาศด้านนอก คือก้าวสุดท้ายที่จะทำให้หลินเป่ยเฉินสามารถเลื่อนขอบเขตขึ้นสู่ขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ
หลังหลอมรวมพลังจากโลหิตพิสุทธิ์ สภาพร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็แข็งแกร่งมากขึ้น ทำให้เขาพร้อมที่จะเลื่อนขั้นพลังเต็มรูปแบบ
แต่พลังปราณในร่างกายของเขายังไม่หนาแน่นมากพอ
ทว่าโชคดีที่หลินเป่ยเฉินฝึกวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณ การดูดซับพลังปราณของเขาจึงเป็นไปอย่างราบรื่น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่ามวลพลังในร่างกายของตนเองนั้นร้อนผ่าวราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ปะทุเดือด…
นี่คือสัญญาณของการเลื่อนขั้นพลัง
นี่คือหนึ่งในสภาวะที่อันตรายมากที่สุด
การเลื่อนขั้นพลังเป็นกระบวนการที่เสี่ยงอันตรายเสมอ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเลื่อนขั้นได้ตามใจคิด
หากเลื่อนขั้นไม่สำเร็จ ถ้าไม่บาดเจ็บสาหัส ก็อาจจะถึงแก่ความตาย
แต่สำหรับหลินเป่ยเฉิน นี่ย่อมไม่เป็นปัญหา
โลหิตพิสุทธิ์ช่วยให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งมากขึ้น ความแข็งแกร่งทางกายภาพของหลินเป่ยเฉินไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ และยังสามารถรับมือการโจมตีจากผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิระดับ 1 ได้อย่างไม่มีปัญหาอีกด้วย
เพียงแต่ว่าที่ผ่านมา ปัญหาใหญ่ที่สุดของหลินเป่ยเฉินก็คือ เขามีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ การเลื่อนขั้นพลังจึงยากลำบากมากกว่าผู้คนทั่วไป
มันเป็นเสมือนคำสาปชนิดหนึ่ง
แต่การหลอมรวมพลังจากโลหิตพิสุทธิ์ก็ช่วยทำลายคำสาปนี้ลงไป
ในที่สุด…
ตู้ม!
พลังปราณในร่างกายของเด็กหนุ่มก็พุ่งทะลุจุดเดือด ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนคลื่นพลังในร่างกายโดยทันที
จังหวะนี้ หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงแสงสว่างที่สาดประกายเจิดจ้า
เขารู้สึกเหมือนกับว่าตนเองมีเส้นเชือกที่มองไม่เห็นกำลังรัดพันร่างกาย แต่อยู่ดี ๆ เชือกเส้นนั้นก็ถูกตัดขาดไป ทำให้มือเท้าของเขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นอิสระ
ไม่จบแต่เพียงเท่านี้
หลินเป่ยเฉินยังรู้สึกมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบกายได้ชัดเจนมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ไม่ต่างจากมองภาพผ่านเลนส์กล้องที่เปื้อนฝุ่น แต่บัดนี้ สายตาของเขาไม่ต่างไปจากเลนส์กล้อง 4K ที่ได้รับการทำความสะอาดเป็นอย่างดี
“ไม่ว่าจะเป็นการฝึกวิชาของมนุษย์หรือเทพเซียน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ยิ่งเลื่อนขั้นพลังสูงเท่าไหร่ สายตาก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น… แล้วถ้าบรรลุขั้นสูงสุด ตาของเราจะมองทะลุไปถึงไหนวะเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
เขาลองโคจรพลังในขอบเขตจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 1 ภายในร่างกาย
ช่างเป็นมวลพลังมหาศาลยิ่งนัก
เด็กหนุ่มพยายามควบคุมมวลพลังให้สงบลง และในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็นำกระบี่ฆ่าวาฬออกมาถือ
มันเป็นกระบี่โบราณขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมหาศาล
เมื่อโคจรพลังปราณขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 1 ลงไป คมกระบี่ก็สั่นไหวเล็กน้อย
แล้วลำแสงสีเงินก็ระเบิดออกมาจากคมกระบี่นั้น
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปยังความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น เมื่อเห็นกลุ่มอุกกาบาตลอยวนเวียนอย่างไร้จุดหมายห่างออกไปไม่ไกล เขาก็ตวัดกระบี่ไปยังเป้าหมายนั้นโดยไม่ลังเล
วูบ!
ลำแสงกระบี่พุ่งออกไป
พุ่งออกไปเป็นสีเงินสว่างไสว
แล้วอุกกาบาตลูกใหญ่ก็ถูกผ่าครึ่งแบ่งแยกออกจากกันโดยทันที
รอยผ่าเรียบเนียนราวกับกระจก
“ขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
เมื่อสักครู่นี้ เขายังไม่ได้ใช้พลังเต็มอัตราส่วนเลยด้วยซ้ำ
แข็งแกร่งจริง ๆ
“หรือว่ากระบี่เล่มนี้…”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ ก้มหน้าลง มองไปที่กระบี่ฆ่าวาฬ
กระบี่เล่มนี้คงไม่ใช่สิ่งของธรรมดาเสียแล้ว
แน่นอนว่ามันเป็นอาวุธโบราณจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคแห่งการล่มสลาย เมื่อโคจรพลังปราณใส่ลงไป มันก็น่าจะมีความแข็งแกร่งไม่ต่ำต้อยไปกว่าอาวุธเล่นแร่แปรธาตุระดับ 50 ซึ่งก็คงเป็นระดับอาวุธประจำกายของพวกชนชั้นกษัตริย์นั่นแหละนะ
หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของกระบี่ฆ่าวาฬก็ตอนนี้เอง
ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มรู้เพียงแต่ว่าหลังตนเองหลอมรวมโลหิตพิสุทธิ์ กระบี่เล่มนี้ก็ทึกทักเอาว่าเขาเป็นเจ้าของคนใหม่ของมัน
“พอมีกระบี่เล่มนี้อยู่ในมือ เราก็สามารถเรียกตัวเองว่าเซียนกระบี่ได้โดยไม่ต้องอายใครแล้วเฟ้ย!”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความตื่นเต้น
สมัยครั้งที่ตนเองได้รับตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน หลินเป่ยเฉินต้องยอมรับเลยว่าเขาอาศัยความช่วยเหลือจากโทรศัพท์มือถือเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้รู้สึกภาคภูมิใจได้ไม่เต็มที่สักเท่าไหร่
ผิดกับการได้ครอบครองกระบี่ฆ่าวาฬเล่มนี้
เมื่อเก็บกระบี่ฆ่าวาฬเสร็จเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็ทดลองใช้วิชากระบี่ธาตุแท้ซึ่งเป็นวิชากระบี่ชนิดเดียวที่เขาร่ำเรียนมาจากเมืองชิงอวี้
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังปราณในร่างกาย เปลี่ยนแปลงพลังปราณแท้จริงให้กลายเป็นกระบี่เงินที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับกระบี่ฆ่าวาฬเล่มหนึ่ง
พลังปราณแท้จริงในร่างกายของหลินเป่ยเฉินสามารถแข็งตัวได้ไม่ต่างจากเหล็กกล้า มันปรับตัวเป็นกระบี่คมกริบ สามารถฟันได้แม้แต่ทองคำและแผ่นหยก ดังนั้น การสังหารสิ่งมีชีวิตในระดับเดียวกันจึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นปัญหา
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็สร้างกระบี่เล่มที่สอง กระบี่เล่มที่สาม…
ด้วยรากฐานพลังของหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ เขาจึงสามารถใช้ปราณแท้จริงสร้างกระบี่ขึ้นมาได้ยี่สิบเอ็ดเล่ม
หลินเป่ยเฉินรวบรวมพลังจิต
แล้วกระบี่ทั้งยี่สิบเอ็ดเล่มนั้นก็บินวนเวียนอยู่รอบกายเขา
และพวกมันสามารถรวมตัวกันกลายเป็นกระบี่ยักษ์หนึ่งเล่ม
หลินเป่ยเฉินลองผสมผสานกับค่ายอาคมกระบี่ที่ตนเองเคยศึกษาสมัยอยู่ในเมืองไป๋หยุน เพียงเปลี่ยนจากกระบี่ปกติเป็นกระบี่ธาตุแท้เท่านั้น และนั่นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินได้รับทราบว่าตนเองมีพลังโจมตีเทียบเท่ากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับที่ 6 แล้ว
“ร่างกาย อาวุธและค่ายกลกระบี่… แค่มีสามสิ่งนี้ เราก็สามารถจัดการศัตรูได้แล้วสินะ”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความพอใจกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของตนเอง
หลังจากสำรวจความสามารถใหม่ของตนเองเป็นที่เรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็หันกลับมาให้ความสนใจกับสิ่งที่สำคัญมากที่สุด
การเปิดประตูมิติ
มีแต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นจึงจะเปิดประตูมิติกลับสู่แผ่นดินตงเต้าได้อีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินเดินกลับเข้าไปยังห้องพักใต้ท้องเรือเหาะหยางเว่ย
หลินเป่ยเฉินเคยศึกษาเรื่องทฤษฎีการเปิดประตูมิติกับนักพรตหญิงชินมานานแล้ว ดังนั้น เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในห้องพักของตนเองเป็นที่เรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจทดสอบการเปิดประตูมิติ โดยที่มีนักพรตหญิงชินคอยนั่งสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง
ขั้นแรกของการเปิดประตูมิติ คือการเปิดเขตแดนของตนเองให้ได้เสียก่อน
เขตแดนของตนเอง หมายถึงเขตแดนที่ต้องเป็นของหลินเป่ยเฉินจริง ๆ เท่านั้น
หลินเป่ยเฉินจึงเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดออกอย่างไม่รอช้า
เพราะนี่ก็เป็นเขตแดนของเขาเหมือนกัน
“สำหรับคนอื่น ประตูมิติจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อมีที่ดินเป็นของตนเองอยู่ในจุดหมายปลายทางเท่านั้น แต่สำหรับเราไม่มีปัญหาเลย เพราะแผ่นดินตงเต้าตกอยู่ในสภาวะถูกแช่แข็งปราศจากผู้เป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้น เราจะไปปรากฏตัวที่ไหนก็ได้”
หลินเป่ยเฉินนั่งขัดสมาธิและเริ่มต้นสงบจิตใจ
หลังจากนั้น เขาก็ลองเสี่ยงดวง