เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1675 แฉความลับ
ตอนที่ 1,675 แฉความลับ
“ก็ใช่น่ะสิ”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเจ้าเป็นผู้ติดตามของเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉินทั้งที จะไม่มีชุดเกราะดี ๆ สวมใส่ได้อย่างไร? นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าสามารถเลือกชุดเกราะและอาวุธจากนายทหารเหล่านี้ได้ตามใจชอบ”
บรรดากะลาสีเรือรีบวิ่งเข้ามารุมแย่งชุดเกราะยิ่งกว่าฝูงสุนัขผู้หิวโหย
ในไม่ช้า การคัดเลือกชุดเกราะก็เสร็จสิ้น
“ว่าแต่ว่าพวกเจ้าต้องหาทางเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองด้วยล่ะ มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะทำให้ภาพลักษณ์ของเซียนกระบี่ต้องเสื่อมเสีย”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
สงสัยคงต้องส่งลูกเรือเหล่านี้เข้าไปฝึกวิชาบู๊ในเกม Lost Castle ซะแล้ว
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินลองทดสอบขีดสัญญาณไวไฟของกลุ่มผู้คนบนเรือเหาะหยางเว่ย ปรากฏว่าขีดความศรัทธาของหมิงเซวี่ยเฟิงและบรรดาลูกเรือยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็หันกลับไปจ้องมองกลุ่มหุ่นประกอบจากโครงกระดูกผีทั้งเก้าตัวและกล่าวว่า “พวกเจ้าก็อย่ามัวแต่ยืนนิ่งเฉย รีบไปคัดเลือกชุดเกราะสำหรับตนเองได้แล้ว หากไม่เจอชุดเกราะที่ถูกใจ ก็เอามามอบให้ข้าก็แล้วกัน”
บรรดาวิญญาณปีศาจแห่งสนามรบตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
ยามที่มีชีวิตอยู่ พวกมันแต่ละตัวล้วนเป็นนักรบปีศาจระดับสูง
แม้บัดนี้สติปัญญาจะต่ำต้อย เนื่องจากผ่านการนอนหลับเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และถึงแม้พวกมันจะมีความสนใจในชิ้นส่วนกระดูกที่หลินเป่ยเฉินคอยมอบให้เพิ่มเติมเป็นระยะก็ตาม…
แต่สุดท้าย ความรักในอาวุธและชุดเกราะที่หลงเหลืออยู่ในสติปัญญาเศษเสี้ยวสุดท้ายก่อนตายหลายพันปีก่อนก็ยังคงไม่เลือนหายไปที่ใด
เจ้าหุ่นประกอบทั้งเก้าตัวคัดเลือกชุดเกราะที่เหมาะสมสำหรับตนเองอย่างมีความสุข
ชุดเกราะเหล่านี้เป็นชุดเกราะเล่นแร่แปรธาตุระดับ 17 เมื่อนำมาสวมใส่บนร่างกาย ขนาดของชุดเกราะก็จะปรับเปลี่ยนไปตามขนาดร่างกายของผู้สวมใส่
อากวงกับเสี่ยวหูก็เลือกชุดเกราะที่ถูกตาต้องใจเช่นกัน
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าคู่พ่อลูกบุญธรรมคู่นี้เมื่อสวมใส่ชุดเกราะแล้ว พวกมันก็ยิ่งดูดีมีสง่าราศีมากกว่าเดิม
“นายน้อย บ่าวก็อยากได้สักชุดเช่นกัน”
หวังจงพูดด้วยความกระตือรือร้น “คำว่าจงในนามของหวังจงมาจากคำว่าจงรักภักดี ซึ่งแน่นอนว่าบ่าวสมควรมีสิทธิ์ได้รับเลือก…”
“ตามสบาย”
หลินเป่ยเฉินไม่เคยขี้เหนียวกับคนของตนเองอยู่แล้ว
เขาหันกลับมามองที่สุยฮันเหยียนและพรรคพวก ก่อนถามว่า “พวกเรามาคุยกันดีกว่า พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันด้วยเหตุอันใด?”
สุยฮันเหยียนพูดอะไรไม่ออก
เช่นเดียวกับหานเซียว
นี่คือสงครามไง สงครามน่ะ เข้าใจหรือไม่?
“กองทัพลูกศรโลหิตโจมตีฐานบัญชาการของกองทัพเซวียนเหยียน ทรัพย์สินของมีค่าและทรัพยากรสำหรับการฝึกวิชาบู๊ของพวกเราถูกขโมยหมดสิ้น ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาตามหาสิ่งของที่เป็นของพวกเรากลับคืนไป”
หานเซียวเป็นฝ่ายเปิดฉากพูดก่อน
สุยฮันเหยียนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเยาะและโต้แย้งว่า “แต่งเรื่องได้ประเสริฐนัก เป็นกองทัพของพวกเจ้าบุกไปรุกรานสามเมืองใหญ่ อีกทั้งยังมีพฤติกรรมวางเพลิงปล้นทรัพย์ฆาตกรรมผู้คน ช่างน่าหัวเราะเสียจริง ข้าได้รับทราบข่าวมาว่าเป้าหมายต่อไปที่พวกเจ้าจะบุกเข้ามาโจมตีก็คือฐานบัญชาการของกองทัพเซวียนเหยียน พวกข้าก็แค่ลงมือปล้นสะดมตัดหน้าพวกเจ้าเท่านั้น…”
“ต่อให้พวกข้าวางแผนที่จะปล้นสะดมที่นั่นจริง พวกข้าก็ไม่เคยปล้นเงินหรือฆ่าคนบริสุทธิ์มาก่อน แต่กองทัพลูกศรโลหิตของเจ้าต่างหาก ไม่ว่ายกทัพบุกไปที่ใด แม้แต่สุนัขเป็ดไก่สักตัวก็ไม่มีเหลือ… โดยเฉพาะเจ้า นางหญิงจิตใจวิปริต เจ้ามันเป็นฆาตกร”
“เฮอะ พูดวกไปวนมาอยู่ได้ เจ้าเองก็มีฉายาว่า ‘นักเชือดมือโลหิต’ เช่นกัน ยังจะมีหน้ากล่าวโทษผู้อื่นเป็นฆาตกรอีกหรือ?”
“ถึงอย่างไรข้าก็คงโหดร้ายไม่เท่ากับแม่ทัพเลือดอย่างเจ้าหรอก”
“แต่บิดาบุญธรรมของเจ้าคือเฉาตงเห่า เขาเคยเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพของเจ้า แต่เจ้ากลับสังหารบิดาบุญธรรมของตนเองเพื่อยึดอำนาจได้ลงคอ…”
“เจ้าเองก็ฆ่ากวาดล้างคนทั้งตระกูลของตนเองเพื่อยึดอำนาจเช่นกัน ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่า…”
ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ของทั้งสองกองทัพต่างก็ลุกขึ้นเผชิญหน้ากัน
พวกเขาต่างก็แฉความลับของกันและกันอย่างที่ไม่มีผู้ใดยอมแพ้ผู้ใด
ในวันนี้ นายทหารของพวกเขาต่างก็ถูกทุบตีและถูกเปลื้องชุดเกราะออกไปหมดสิ้น ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นนักรบไม่มีเหลือ ความภาคภูมิใจพังทลาย ดังนั้นสุยฮันเหยียนกับหานเซียวจึงเริ่มหันมาห้ำหั่นกันเอง
“ให้ตายเถอะ พวกเจ้ายังมีหน้ากล้าเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกได้ไงเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินพูดขึ้นมาด้วยความเหลือเชื่อ “นี่มันกลุ่มคนโฉดสุดชั่วชัด ๆ …ข้าเทียบพวกเจ้าไม่ติดเลย”
นับว่าในสถานที่นี้ ไม่มีคนดีหลงเหลืออยู่แล้วจริง ๆ
เฮ้ย ไม่ใช่สิ
เรานี่ไงคนดี!
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความภาคภูมิใจ
เด็กหนุ่มพูดต่อไปว่า “คนของกองทัพหันมาโจมตีกันเองเช่นนี้ ไม่ทราบว่าทางอาณาจักรซือเว่ยรับทราบเรื่องราวนี้ด้วยหรือไม่?”
สุยฮันเหยียนกับหานเซียวถึงกับหยุดชะงักด้วยความตกตะลึง
“อาณาจักรซือเว่ยล่มสลายลงแล้ว”
“กษัตริย์องค์เก่าถูกปลงพระชนม์ พระมเหสีถูกจับตัวไป…”
ทั้งสองต่างก็รีบตอบคำถาม
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
ก่อนหันหน้ามาชำเลืองมองที่หมิงเซวี่ยเฟิงโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็นอาณาจักรเดียวกับที่หมิงเซวี่ยเฟิงกล่าวถึงจริง ๆ หรือ?
เป็นไปได้อย่างไรที่อาณาจักรใหญ่โตอย่างอาณาจักรซือเว่ยจะล่มสลายโดยไม่มีผู้ใดรับทราบ?
แล้วอาณาจักรแห่งนี้ล่มสลายลงไปได้อย่างไร?
“ว่าแต่ครั้งนี้พวกเจ้าแย่งชิงทรัพย์สมบัติกันเป็นมูลค่าเท่าไหร่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ของอาณาจักรซือเว่ยสักเท่าไหร่ เขารีบกลับมาสนใจที่ประเด็นหลักของตนเองอีกครั้ง
หานเซียวรีบตอบว่า “ในคลังหลวงของกองทัพมีเงินอยู่ทั้งหมดพันตำลึงทองกับอีกแสนตำลึงเงิน นอกจากนี้ก็ยังมีสมุนไพรวิเศษ หินแร่ศักดิ์สิทธิ์ โอสถเพิ่มพลัง แล้วก็ยังมีสมุนไพรวิเศษอันดับหนึ่งของอาณาจักรซือเว่ยอย่างต้นไผ่สามกษัตริย์อีกด้วยขอรับ”
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายลุกวาวขึ้นมาทันที
“จริงหรือ?”
เขาจ้องมองไปที่สุยฮันเหยียน
สุยฮันเหยียนมีลักษณะเหมือนไม่อยากตอบคำถาม
เพียะ!
หลินเป่ยเฉินจึงตบหน้าให้อีกฉาดใหญ่และคำรามว่า “บอกมา”
เขาไม่เคยใจดีกับสตรีผู้ชั่วร้ายอยู่แล้ว
สุยฮันเหยียนไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับว่า “เป็นเพียงหน่ออ่อนอายุสามสิบปีเท่านั้น ยังไม่สามารถนำมาใช้ปรุงยาได้ จำเป็นต้องนำไปปลูกต่อ แต่ก็มีโอกาสที่ไผ่สามกษัตริย์ต้นนี้จะไม่รอดชีวิต...”
“ฮ่า ๆๆ”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ “เอาไผ่ต้นนั้นมาให้ข้าซะ”
เมื่อมีเกม Happy Farm อยู่ในมือ ก็ไม่มีต้นไม้ชนิดใดที่หลินเป่ยเฉินจะเพาะปลูกไม่ได้อีกแล้ว
สุยฮันเหยียนไม่มีทางเลือกนอกจากยอมส่งมอบหน่ออ่อนของต้นไผ่สามกษัตริย์ออกมาให้แก่หลินเป่ยเฉิน
หน่ออ่อนของต้นไผ่สามกษัตริย์มีลักษณะแปลกประหลาดพิสดาร มันไม่ต่างไปจากผลึกแก้วแกะสลัก ชั้นนอกเป็นสีขาวขุ่น ผิวหยาบกระด้าง แต่ด้านในบรรจุด้วยของเหลวเป็นวุ้นสีขาว เมื่อนำมาเขย่า พื้นที่ของหน่ออ่อนก็จะเรืองแสงออกมาเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเสมือนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง