เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1680 กองทัพเซียนกระบี่
ตอนที่ 1,680 กองทัพเซียนกระบี่
หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งเงียบใช้ความคิด ถึงเขาจะมีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งดุดัน แต่ก็ยังไม่ได้ถึงระดับที่จะทำให้นายทหารเหล่านี้ยอมก้มหัวถวายชีวิตให้หมดหัวใจ
การเลี้ยงดูกองทัพที่ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อตนเองคือหายนะชนิดหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
“อย่าดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธข้อเสนอของหวังจงและกล่าวต่อไป “ไม่ว่าพวกเขาจะมีเรือเหาะกี่ลำ ไม่ว่าพวกเขาจะมีกำลังพลเท่าไหร่ แต่ประเด็นสำคัญก็คือพวกเขามีความแข็งแกร่งเพียงใด? นับว่ายังอ่อนหัดมากเกินไปจริงๆ”
หวังจงพูดอะไรไม่ออก
นายน้อย เมื่อสักครู่นี้ท่านยังสนใจอยู่เลยนะ
บัดนี้ ทำไมถึงตัดใจง่ายดายเสียจริง
“นายน้อยขอรับ บ่าวกลัวว่านายน้อยจะมีปัญหาเอาได้ บ่าวอยากให้นายน้อยเปลี่ยนใจ สมมติว่านายน้อยอยากจะแต่งงานกับองค์หญิงหลิงเฉินแห่งดินแดนเกิงจิน นายน้อยก็จำเป็นต้องมีผู้ติดตามนะขอรับ การที่นายน้อยมีกองทัพเป็นของตนเอง มันก็ดูเหมาะสมมากกว่าไม่ใช่หรือ? นับตั้งแต่โบราณกาลมา ต้นไม้เพียงต้นเดียวไม่สู้ป่าใหญ่ ยังคงมีอีกหลายเรื่องราวที่ไม่สามารถกระทำได้ด้วยตัวคนเดียวนะขอรับ”
หวังจงพยายามเกลี้ยกล่อม
“เอ่อ…ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น ก่อนจะหันไปมองหน้าหวังจงด้วยความประหลาดใจ “แต่ทำไมวันนี้เจ้าทำตัวแปลก ๆ อีกแล้ว คำพูดคำจาของเจ้า มันเป็นคำพูดของคนฉลาดชัด ๆ…หวังจง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“บ่าวเพียงอยากให้นายน้อยได้รับสิ่งที่ดีที่สุดขอรับ”
หวังจงยกมือตบหน้าอกตนเองและกล่าวว่า “บ่าวเฝ้าดูนายน้อยเติบโตขึ้นมาไม่ต่างจากบุตรชายของตนเอง คำว่าจงในชื่อของหวังจงมาจากจงรักภักดี ไม่มีผู้ใดจะซื่อสัตย์กับนายน้อยมากไปกว่าหวังจงอีกแล้ว นายน้อยได้โปรดวางใจเถอะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพลันถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “เอาจริง ๆ นะ ข้าไม่ค่อยเข้าใจเจ้าเลย…แต่ข้าก็ไม่เคยสงสัยในตัวเจ้าเช่นกัน เจ้าจะเสแสร้งแกล้งโง่ต่อไปก็ทำเถอะ อยากจะจัดตั้งกองทัพก็ทำไป แต่อย่ามารบกวนข้าก็แล้วกัน”
หวังจงยิ้มกว้างด้วยความยินดี “นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ บ่าวจะฝึกนายทหารเหล่านี้ให้ซื่อสัตย์ต่อนายน้อยเอง”
หลินเป่ยเฉินโบกมือไล่ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าห้องพักของตนเองเพื่อไปฝึกวิชาต่อ
…
สามชั่วยามต่อมา
ประวัติศาสตร์ของอาณาจักรซือเว่ยก็ได้ถูกเขียนขึ้นมาใหม่
ในขณะนี้ ไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียวที่จะรู้ว่านี่คือจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล
ไม่มีผู้ใดทราบว่า ‘กองทัพเซียนกระบี่’ จะมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใดในอนาคต
สิ่งเดียวที่กลุ่มนายทหารทั้งหมดรู้ก็คือกองทัพลูกศรโลหิตและกองทัพเซวียนเหยียนได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว
พวกเขาถูกควบรวมจนกลายเป็นกองทัพใหม่
กองทัพเซียนกระบี่
ทุก ๆ คนต้องเข้าร่วมกองทัพเซียนกระบี่ ไม่เว้นแม้แต่พวกของสุยฮันเหยียนกับหานเซียว
กองทัพเซียนกระบี่มีเรือเหาะอยู่ใต้บังคับบัญชาทั้งสิ้นสองร้อยสามสิบเอ็ดลำ อาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชนิดคือวัตถุเล่นแร่แปรธาตุระดับสูงของอาณาจักรซือเว่ย และมักจะได้รับการแจกจ่ายก็แต่ภายในกองทัพระดับสูงเท่านั้น
ในอาณาจักรซือเว่ยเคยมีทัพหลวงอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นสิบเอ็ดทัพ ในจำนวนนี้ กองทัพลูกศรโลหิตและกองทัพเซวียนเหยียนไม่ถือว่าเป็นกองทัพที่สูงส่งอันใด
แต่เมื่อนำทั้งสองกองทัพมารวมเข้าด้วยกัน พลังในการทำลายล้างของพวกเขาก็เพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น
การฝึกวิชาของหลินเป่ยเฉินถูกขัดจังหวะ
หวังจงรบเร้าให้เด็กหนุ่มเดินกลับขึ้นมาที่ดาดฟ้าเรือเหาะเซียนกระบี่
“ทำความเคารพท่านแม่ทัพใหญ่!”
“คารวะท่านแม่ทัพหลิน!”
บนดาดฟ้าเรือเหาะในขณะนี้ นายทหารระดับสูงหลายร้อยชีวิตซึ่งรวมถึงพวกของหานเซียวกับสุยฮันเหยียนก็กำลังคุกเข่าลงโขกศีรษะทำความเคารพต่อหลินเป่ยเฉินด้วยความนอบน้อมยิ่ง
เสียงตะโกนของพวกเขาดังกึกก้องยิ่งกว่าฟ้าคำราม
เกิดเป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
ทำไมถึงรวดเร็วเพียงนี้?
หวังจงทำสำเร็จได้อย่างไร?
เพียงไม่กี่ชั่วยาม หวังจงก็สามารถทำให้นายทหารระดับสูงเหล่านี้เชื่อฟังได้เป็นอย่างดี มิหนำซ้ำ นี่ยังไม่ใช่การบังคับขู่เข็ญอีกด้วย
หัวคิ้วของหลินเป่ยเฉินขมวดยุ่งจนแทบจะเป็นเครื่องหมายคำถาม
แต่เขาก็ยังรักษาความเยือกเย็นเอาไว้
“ทุกท่าน...ไม่ต้องเกรงใจ”
เด็กหนุ่มปรับเปลี่ยนน้ำเสียงให้อ่อนโยนมากขึ้น
เขายกมือส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนลุกขึ้นยืน
นายทหารกว่าร้อยคนจึงลุกขึ้นตามคำสั่ง
เสียงของชุดเกราะทองคำและชุดเกราะโลหะเสียดสีกันดังเคร้งคร้าง
กระบี่ หอก ดาบและกระบองต่างก็สะท้อนประกายระยิบระยับกับดวงดาวบนท้องฟ้า
เรือรบทั้งสองร้อยลำพร้อมออกเดินทางได้ทุกเมื่อ
ผู้คนบนเรือรบเหล่านั้นต่างก็ตะโกนแสดงความเคารพต่อหลินเป่ยเฉิน
นี่คือเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากเกินไป แม้แต่หลินเป่ยเฉินที่ไม่สนใจในตอนแรก ก็ยังอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
เขารู้สึกว่าตนเอง…ช่างเท่เหลือเกิน
เป็นแบบนี้ก็ดีสิ
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบบริเวณ
เรือเหาะสองร้อยกว่าลำที่อยู่โดยรอบผ่านไปเพียงสามชั่วยาม รูปลักษณ์ของพวกมันก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็นธงเรือ หมายเลขเรือ ดาดฟ้าเรือ ขอบราวกั้นเรือ หรือสัญลักษณ์ที่เคยเป็นของทั้งสองกองทัพมาก่อนต่างก็ถูกลบทิ้งไป ตัวเรือเหาะถูกทาสีใหม่ เรือเหาะทุกลำกลายเป็นเรือเหาะสีเงิน ด้านข้างตัวเรือวาดลวดลายเป็นกระบี่สีเงินสองเล่มพาดไขว้กัน
“คารวะรองผู้บังคับการหวัง”
“ข้าน้อยทำความเคารพรองผู้บังคับการหวังจง”
ทันใดนั้น กลุ่มนายทหารระดับสูงก็หันไปยกมือทำความเคารพต่อหวังจง
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาว่า “เฮ้ย?”
หวังจง ตาเฒ่านี่ ถึงกับกล้าแต่งตั้งตนเองเป็นรองผู้บังคับการกองทัพเซียนกระบี่เชียวหรือ?
ที่พ่อบ้านชราอยากจะจัดตั้งกองทัพเป็นนักหนา ก็เพราะอยากจะได้ตำแหน่งนี้นี่เองสินะ?
…
ภายในห้องประชุมใหญ่
หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ
นักพรตหญิงชินและหวังจงนั่งอยู่สองข้างซ้ายขวา สุยฮันเหยียนกับหานเซียวเช่นเดียวกับสุยหลิวกวงและเฉาตงเซิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบหกนายทหารระดับรองแม่ทัพต่างก็นั่งประจำที่อยู่ที่โต๊ะประชุมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
นี่คือกลุ่มผู้บังคับการกลุ่มแรกของกองทัพเซียนกระบี่
หลินเป่ยเฉินนั่งสัปหงกตามที่คิด
หน้าที่ในการรับฟังรายละเอียดจึงตกเป็นของนักพรตหญิงชินกับหวังจง
นักพรตหญิงชินมีความกระตือรือร้นที่จะได้ซึมซับความรู้ใหม่ๆ เนื่องจากนางศึกษาเส้นทางของสายเลือดผู้เยียวยา การเรียนรู้และทำความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับนางยิ่งนัก
ทางด้านหวังจงก็กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่ได้ต้องการความรู้ แต่เขาต้องการใช้อำนาจของตนเอง
ในกองทัพเซียนกระบี่ นอกจากท่านแม่ทัพหลิน ก็ไม่มีผู้ใดจะมีอำนาจมากไปกว่ารองผู้บังคับการหวังจงอีกแล้ว
“หลังการล่มสลายของอาณาจักรซือเว่ย ภายในราชวังก็เกิดความปั่นป่วน กลุ่มขุนนางแบ่งแยกออกเป็นหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายต่างก็ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ บัดนี้ พวกเขาถึงกับเริ่มต้นประกาศสงครามต่อกัน และทำการโจมตีระหว่างเมืองต่าง ๆ ด้วยความหนักหน่วงรุนแรง…”
“สองเดือนที่แล้ว กองทัพลูกศรโลหิตถูกท่านผู้คุมสภาบังคับให้ไปออกรบ สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ยับเยิน สูญเสียกำลังพลไปมากกว่าสามในสิบส่วน และเราก็ต้องสูญเสียดินแดนไปถึงสามเมืองใหญ่ นับดูในบรรดาเมืองใหญ่ปัจจุบันนี้…ยังคงหลงเหลือเมืองเซวี่ยเป่ยซิงเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ล่มสลายลงไป”
“และเพื่อขยายอำนาจของกองทัพ พร้อมกับควบคุมสถานการณ์ รวมถึงยังต่อต้านบรรดาผู้คนในสภาขุนนาง กองทัพจำนวนมากจึงถูกส่งตัวมาเพื่อทำลายด่านตรวจคนเข้าเมือง และเมื่อทางสภาขุนนางรับทราบเรื่องนี้เข้า ปฏิบัติการล้างแค้นชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันจึงได้เริ่มขึ้น”
สุยฮันเหยียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของอาณาจักรซือเว่ยให้พวกของเจ้านายคนใหม่รับทราบ
กองทัพลูกศรโลหิตเปรียบเสมือนธุรกิจในครอบครัวของตระกูลสุย
ก่อนหน้านี้ ผู้ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ก็คือสุยหลิวกวง แต่เมื่อพลังของเขาลดลง ชายวัยกลางคนจึงไม่ใช่นายทหารใหญ่แห่งอาณาจักรซือเว่ยอีกต่อไป สุดท้าย เขาก็ถูกลดขั้นและกลายเป็นสุยฮันเหยียนขึ้นมารับตำแหน่งนี้แทน