เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1684 ลงจอดที่ท่าเทียบเรือ
ตอนที่ 1,684 ลงจอดที่ท่าเทียบเรือ
“พอเถอะ เจ้าไม่ต้องอธิบายเพื่อยกหางตนเองอีกแล้ว ข้าไม่อยากฟัง” หลินเป่ยเฉินรีบตัดบท “สุนัขเฒ่าอย่างเจ้ามาหาข้าในครั้งนี้ คงเกิดเรื่องอะไรขึ้นสินะ มีอะไรจะบอกก็บอกมาเถอะ”
“นับว่านายน้อยรู้จักบ่าวดีเหลือเกิน”
หวังจงยิ้มประจบประแจงและกล่าวว่า “นายน้อย ในเมื่อสถานการณ์โดยรวมของอาณาจักรซือเว่ยก็มั่นคงดีแล้ว ในระยะเวลานี้ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอีก พวกเราสมควรมุ่งหน้าไปที่เมืองเทียนหลางซิงได้แล้วกระมัง…”
“จริงด้วยสินะ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ตลอดเดือนที่ผ่านมา พวกเขาวุ่นวายอยู่ในเส้นทางดาราจักรของอาณาจักรซือเว่ย นอกจากปราบปรามเหล่าร้ายแย่งชิงเงินทองของพวกมันมาแล้ว ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็ใช้พลังของตนเองฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของแผ่นดินตงเต้ากลับคืนมาได้มากโขแล้วเช่นกัน
บัดนี้ เขาเกือบจะพร้อมแล้ว
อย่างน้อยเมืองหยุนเมิ่งก็ถูกฟื้นฟูขึ้นมาจนพร้อมสำหรับการอยู่อาศัยได้ทุกเมื่อ
นอกจากนั้น ในมือซ้ายของเขายังกักเก็บพลังปราณของผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิระดับ 2 เอาไว้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าเผชิญหน้ากับศัตรูเผ่าพันธุ์ใด หลินเป่ยเฉินก็มีลูกกระสุนให้พร้อมใช้งานเสมอ ทั้งสำหรับปืน AWM เครื่องยิงระเบิด Type 69 ปืนกลมืออูซี่ ไปจนถึงปืนสไนเปอร์อีกหลายกระบอกก็มีให้ใช้อย่างเพียงพอ…
พลังปราณในร่างกายของหลินเป่ยเฉินเพิ่มพูนมากขึ้น
บัดนี้ ก็น่าจะถึงเวลาออกเดินทางเพื่อตามหาโอสถคืนวิญญาณเสียที
เป้าหมายต่อไปของพวกเขาคือเมืองเทียนหลางซิง
“เจ้าสืบข่าวมาได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินถาม
หวังจงรีบตอบโดยเร็ว “บัดนี้บ่าวยังไม่ได้ข่าวคราวของสองพี่น้องคู่นั้นเลยขอรับ เกรงว่าเราคงหาตัวพวกเขาได้ไม่ง่ายแล้ว”
“งั้นเจ้าก็หาต่อไปสิ”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำราม
สองพี่น้องคู่นั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
หลังได้รับใบไม้คืนวิญญาณ ผู้เป็นพี่สาวก็สัญญากับหลินเป่ยเฉินว่าจะนำโอสถคืนวิญญาณมามอบให้แก่เขา ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินอยู่ที่ใด นางก็จะเอามามอบให้ด้วยตนเอง
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวผู้นี้มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถหาตัวหลินเป่ยเฉินได้พบเจอแน่นอน
นี่แสดงให้เห็นว่านางต้องไม่ใช่ชาวเมืองชิงอวี้
อย่างน้อยก็ต้องมีความสามารถเดินทางข้ามเขตแดนระหว่างอาณาจักรได้
“แล้วข่าวอื่น ๆ ล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
หวังจงตอบว่า “บ่าวส่งหน่วยสืบสวนไปแฝงตัวอยู่ที่เมืองเทียนหลางซิงมาได้หลายวันแล้ว พวกเขาเพิ่งรายงานกลับมาเมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้วว่า ในที่สุด พวกเราก็รู้ที่อยู่ของอาจารย์เฉินปี้หยางแล้วขอรับ แต่ในเวลาเดียวกันนี้ หน่วยสืบสวนของพวกเราก็พบกับเรื่องราวแปลกประหลาดด้วยเช่นกัน”
“เรื่องราวแปลกประหลาดอันใด?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตมองหน้าหวังจง
พ่อบ้านชรามีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนตอบว่า “นอกจากพวกเราแล้ว ก็ยังมีผู้คนต้องการตัวอาจารย์เฉินปี้หยางอีกไม่น้อยเลยขอรับ และในเวลาเดียวกันนี้ มือสังหารจากหอสลายวิญญาณก็ถูกว่าจ้างมาให้ลอบสังหารอาจารย์เฉินอีกด้วย นี่แสดงว่าอาจารย์เฉินต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวบางประการเข้าให้แล้ว… นายน้อยขอรับ พวกเรารีบไปกันดีกว่า มิเช่นนั้นหากอาจารย์เฉินถูกผู้อื่นชิงจับตัวไปก่อน เราอาจจะได้พบเจอแต่เพียงซากศพของเขาเท่านั้นนะขอรับ”
หอสลายวิญญาณ?
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
นี่มันสำนักมือสังหารที่พยายามฆ่าเขาตอนอยู่ในเมืองหลันจี๋ซิงนี่นา ความแค้นในครั้งนั้นยังไม่ได้รับการชำระเลยด้วยซ้ำ
คงได้ชำระแค้นกันก็ครั้งนี้แหละนะ
“แล้วเจ้ายังจะรออะไรอยู่อีก?”
หลินเป่ยเฉินกระโดดลุกขึ้นมาจากกองเงินกองทองและกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจ “สั่งให้พวกเราเตรียมออกเดินทางเดี๋ยวนี้!”
หวังจงประสานมือก้มศีรษะรับคำสั่ง “นายน้อยไม่ต้องเป็นกังวล บ่าวได้สั่งให้พวกเราเตรียมตัวออกเดินทางนานแล้ว ครั้งนี้พวกเราจะขนกำลังพลไปเพียงเรือเหาะสิบลำเท่านั้น ส่วนกำลังพลที่เหลือก็ให้รักษาการอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ที่เรายึดครองมาได้ นายน้อยจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองเหล่านั้นขอรับ”
“ประเสริฐ เจ้านี่มันแสนรู้จริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินว่า
หวังจงกล่าวอีกครั้ง “และตามคำสั่งของนายน้อย บ่าวได้ให้คนเดินทางไปที่เมืองชิงอวี้แห่งอาณาจักรหลิวเยวียน เพื่อรับตัวคุณชายเซียวปิงมาเข้าร่วมกับกองทัพเซียนกระบี่เรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่านายน้อยอยากจะให้พวกเราพาตัวองค์ชายเจี้ยน หลงหน่า และคนอื่น ๆ มาด้วยไหมขอรับ?”
“หากพวกเขาอยากมาก็ให้มา แต่ถ้าพวกเขาไม่อยากมา ก็ไม่ต้องไปบังคับ”
หลินเป่ยเฉินกล่าว
“รับทราบแล้วขอรับ บ่าวจะรีบไปปฏิบัติตามทันที”
หวังจงเข้าใจเจตนาของนายน้อยแน่ชัด หลังจากยืนยันคำสั่งเป็นที่เรียบร้อย เขาก็นำคำสั่งไปป่าวประกาศต่อไป
…
สิบวันต่อมา
หลังจากที่กองเรือเหาะของกองทัพเซียนกระบี่เดินทางผ่านจุดทิ้งสมอหลายร้อยจุด ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงเมืองเทียนหลางซิง
หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่บนเรือเหาะเซียนกระบี่
พร้อมด้วยนักพรตหญิงชิน อากวงและเจ้าจักจั่นทองคำ
รองผู้บังคับการหน้าหยกหวังจงไม่ได้ติดตามมาด้วย เพราะพ่อบ้านชรามีหน้าที่สำคัญคือการอยู่ควบคุมความเรียบร้อยของกองทัพใหญ่
บัดนี้ กองเรือเหาะของหลินเป่ยเฉินเคลื่อนขบวนมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองประจำเมืองเทียนหลางซิง ก่อนที่จะมาจอดต่อแถวสังเกตการณ์ความเรียบร้อยอยู่บริเวณด้านหน้าท่าเทียบเรือ
หลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากห้องพักและยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเหาะ มองดินแดนแปลกหน้าด้วยความสงสัย
เพราะว่าเมืองที่ตั้งอยู่เบื้องหน้านี้ทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงบรรดานครใหญ่ในเมืองจีนขึ้นมาทันที
สายลมร้อนอุ่นโชยพัดมา
ในอากาศมีแต่ฝุ่นผง
ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 คือ 200
ท่าเทียบเรือมีขนาดใหญ่โตมโหฬารเกินจินตนาการ ในยุคสมัยที่บ้านเมืองยังรุ่งเรือง ที่นี่ก็คงเป็นท่าเทียบเรือที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจไม่ใช่น้อย แต่สภาพในปัจจุบัน ท่าเทียบเรือถูกทำลายไปเกือบครึ่ง บรรยากาศวังเวงเงียบเหงา ไม่ต่างจากชายชราที่ใกล้ตาย
พื้นที่ด้านนอกท่าเทียบเรือมีแต่ความชำรุดทรุดโทรม
แม้แต่สายลมร้อนอุ่นที่โชยพัดมาก็ยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นเน่าเหม็นที่ทำให้ผู้คนรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน
แห้งแล้ง
ขาดความชุ่มชื้น
สภาพข้าวของเครื่องใช้มีแต่สิ่งที่ชำรุดทรุดโทรม
‘ท่านแม่ทัพใหญ่’ สุยหลิวกวงผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยองครักษ์เดินเข้ามาประสานมือทำความเคารพด้วยความนอบน้อม “ท่าเทียบเรือแห่งนี้ถูกผู้คนปล้นสะดม ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ อสูร หรือผู้ร้ายหลบหนีคดีต่างก็มาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ คาดการณ์ว่าสถานที่โดยรอบท่าเทียบเรือก็น่าจะมีอันตรายไม่ใช่น้อย พวกเราไม่ควรเดินไปไหนไกล ๆ ขอให้ท่านแม่ทัพใหญ่ยึดตามแผนการเดิม หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามต่อจากนี้ เมื่อเติมเสบียงเสร็จเรียบร้อย พวกเราจะรีบออกเดินทางกันทันที”
“ข้ารู้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินโบกมือพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าไปเติมเสบียงเถอะ ข้าจะลงเดินสำรวจดูแถวนี้สักหน่อย”
หลินเป่ยเฉินพานักพรตหญิงชิน อากวง เจ้าเสือเสี่ยวหูเดินลงจากเรือเหาะเซียนกระบี่ โดยปฏิเสธไม่พากลุ่มองครักษ์ไปด้วย เพราะพวกเขามีเจตนาเพียงอยากสำรวจสภาพเมืองโดยรอบอย่างสงบ ๆ เท่านั้น
นี่จึงไม่ต่างไปจากคำกล่าวที่ว่า ‘สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ’
นักพรตหญิงชินผู้ฝึกวิชาตามสายเลือดผู้เยียวยามีเจตนาอยากออกมาเก็บเกี่ยวความรู้ ยิ่งนางมีความรู้รอบตัวมากเท่าไหร่ ขั้นพลังของนักพรตหญิงชินก็ยิ่งสูงส่งมากเท่านั้น
ท่าเทียบเรือและด่านตรวจคนเข้าเมืองกลายเป็นทะเลทราย
ไม่ต่างจากโรงงานใหญ่ที่ถูกทิ้งร้าง
แทบไม่พบเจอเจ้าหน้าที่แม้แต่คนเดียว
สายตาที่ไม่น่าไว้ใจจำนวนมากซ่อนอยู่ในความมืด สายตาเหล่านั้นกำลังจ้องมองพวกของหลินเป่ยเฉินไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องมองเหยื่อ
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่เบื้องหน้า
แล้วบริเวณสะพานของท่าเทียบเรือก็มีกลุ่มคนทั้งแก่ชราและเด็กเล็กในชุดเสื้อผ้าขาดวิ่น ต่างก็พร้อมใจกันวิ่งตรงเข้ามาหาพวกของหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายแห่งความหวัง ไม่ต่างจากสุนัขหิวโหยที่พบเห็นแหล่งอาหารของตนเอง…
“นายท่าน มีอะไรให้ข้ารับประทานบ้างหรือไม่ ตราบใดที่ท่านมีของกินให้ข้า ท่านจะทำอะไรกับข้าก็ย่อมได้”
“นายท่าน พวกเราอดอยากเหลือเกิน”
“กราบเรียนนายท่านจากแดนไกล พวกท่านมียาถอนพิษบ้างหรือไม่ บุตรชายของข้ากำลังจะตายแล้ว ข้าต้องการยาถอนพิษ…”
“นายน้อย ได้โปรดรับข้าไปอยู่ด้วยเถอะนะ ข้าอายุสิบหกปีแล้ว ข้าเป็นเด็กกำพร้า ข้าสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อท่าน ขอแค่ข้ากินอิ่มนอนหลับก็พอ ท่านจะทำเหมือนข้าเป็นสุนัขตัวหนึ่งก็ไม่เป็นไร!”
หลินเป่ยเฉินถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มคน
ทำให้บัดนี้ เขารู้สึกเหนือจริงเกินบรรยาย!