เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1685 เมืองนี้อันตรายหลังฟ้ามืด
ตอนที่ 1,685 เมืองนี้อันตรายหลังฟ้ามืด
นี่คือเมืองหลวงของอาณาจักรซือเว่ยไม่ใช่หรือ?
นี่คือท่าเทียบเรือที่ใหญ่ที่สุดประจำเมืองหลวงไม่ใช่หรือ?
แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลงไปแล้ว
ไม่ต่างจากสถานที่รกร้างหลังการล่มสลาย
หลินเป่ยเฉินจ้องมองกลุ่มคนแก่และเด็กน้อยที่ห้อมล้อมอยู่รอบกาย
ในกลุ่มคนเหล่านี้มีบางส่วนเป็นเด็กสาวหน้าตางดงาม ทุกคนต่างก็อยู่ในอาการหิวโหยไม่ต่างจากสัตว์ป่าขาดแคลนอาหาร ในดวงตาเป็นประกายด้วยความหวัง บางคนพยายามซ่อนเร้นความดุร้ายของตนเองเอาไว้
หลินเป่ยเฉินนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าหากไม่เห็นกระบี่และชุดเกราะที่อยู่บนตัวเขา ป่านนี้กลุ่มคนเหล่านี้อาจรุมทำร้ายเขาไปแล้วก็เป็นได้…
นักพรตหญิงชินนำน้ำและอาหารออกมาแจกจ่ายด้วยความอดทน นางสั่งให้เด็กเล็กและคนแก่ยืนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อรับอาหารทีละคน
ข่าวเรื่องการแจกอาหารแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว
เริ่มมีผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กและผู้เฒ่าผู้แก่ที่สวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ
นักพรตหญิงชินยังคงแจกจ่ายอาหารและน้ำดื่มด้วยความอดทน
เพียงพริบตาเดียว ครึ่งชั่วยามก็ผ่านพ้นไป
กองทัพเซียนกระบี่เติมเสบียงเสร็จแล้ว หัวหน้ากลุ่มองครักษ์สุยหลิวกวงส่งเจ้าหน้าที่มาตามตัวพวกของหลินเป่ยเฉินกลับไป แต่เด็กหนุ่มยังคงไม่ยอมกลับ
หลังจากนั้นอีกหนึ่งก้านธูป สุยหลิวกวงก็ถึงกับเดินมาตามพวกเขาด้วยตนเอง “นายน้อย ได้เวลาแล้วเจ้าค่ะ พวกเราจะออกเรือกันแล้ว…”
“งั้นพวกเจ้าก็ไปก่อนเลย”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความรำคาญใจ “เจ้าไม่เห็นหรือว่าภรรยาของข้า… เอ๊ย อาจารย์ของข้ากำลังช่วยเหลือคนยากไร้อยู่ เจ้าจะให้พวกเขาทำอย่างไร?”
สุยหลิวกวงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ให้ตายเถอะ
แต่นางก็ต้องเสแสร้งแกล้งยิ้มอย่างมีความสุข
แม่ทัพใหญ่หลินเป่ยเฉินเป็นทั้งผู้ที่มีความแข็งแกร่ง ลึกลับและมีพฤติกรรมคาดเดาไม่ได้
บ่อยครั้งที่ถ้อยคำเหลวไหลจะกล่าวออกมาจากปากของท่านแม่ทัพใหญ่หลินเป่ยเฉิน ซึ่งหลังจากติดตามรับใช้มาสักระยะหนึ่ง สุยหลิวกวงก็เริ่มคุ้นเคยกับพฤติกรรมทั้งหมดของเด็กหนุ่มแล้ว
แม้ว่านางจะถูกดุด่า แต่สุยหลิวกวงก็ยังคงยืนนิ่งเงียบและเริ่มสงสัยขึ้นมาเช่นกันว่าบรรดาพรรคพวกของหลินเป่ยเฉินต้องการช่วยเหลือคนยากไร้เหล่านี้ ไม่ทราบว่ามีเจตนาอะไรแอบแฝงหรือไม่?
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน
เมื่อกลุ่มผู้คนยากไร้ได้รับอาหารและน้ำดื่มกันอย่างครบถ้วน
พวกเขาก็เริ่มแยกย้ายสลายตัว
นักพรตหญิงชินยังคงยืนอยู่บนสะพานบริเวณท่าเทียบเรือ จ้องมองไปยังตัวเมืองที่กำลังถูกความมืดมิดปกคลุมลงมาเรื่อย ๆ
แสงตะวันยามเย็นย้อมเส้นขอบฟ้ากลายเป็นสีแดง
ภาพของเมืองใหญ่อันเงียบเหงาวังเวงสะท้อนอยู่ในดวงตาของนักพรตหญิงชิน
ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบ
“พวกเราลองเดินเข้าไปสำรวจในตัวเมืองดีหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเสนอความคิดเห็น
นักพรตหญิงชินพยักหน้าและกล่าวว่า “ได้สิ”
นางเองก็อยากเข้าไปสำรวจภายในตัวเมืองเช่นกัน
ขณะนี้ ใบหน้าอันงดงามของนักพรตหญิงชินเปรียบเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจที่ทำให้บรรดาเด็กหนุ่มจำนวนมากรู้สึกหัวใจพองโตยามได้จ้องมอง เช่นเดียวกับหลินเป่ยเฉินที่อยากจะใช้เวลานี้ให้นานที่สุด
พวกเขาเดินลงจากสะพานและมุ่งหน้าไปตามเส้นทางถนนที่ทอดผ่าน
หัวหน้าองครักษ์อย่างสุยหลิวกวงต้องการติดตามมาด้วย แต่สุดท้ายก็ถูกหลินเป่ยเฉินขับไล่กลับไปด้วยสีหน้าที่บอกชัดว่า ‘หากเจ้าไม่ไป ข้าจะฆ่าเจ้า’
ให้ตายเถอะ
เมื่อเจอสายตาอำมหิตของหลินเป่ยเฉินเข้าไป สุยหลิวกวงก็ไม่กล้าต่อรองสิ่งใดอีกแล้ว
พื้นที่บริเวณท่าเทียบเรือสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งตัวเมืองเทียนหลางซิง
แสงตะวันยามเย็นเป็นประกายระยิบระยับ ทำให้ตัวเมืองดูมีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ตึกสูงระฟ้าล้วนแต่มีสภาพทรุดโทรม
กระจกหน้าต่างตามอาคารบ้านเรือนแตกร้าว ท้องถนนเกลื่อนกลาดด้วยเศษขยะ ร้านค้าปิดกิจการ...
แสงตะวันยามเย็นย้อมทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็นสีเลือด
ความเสื่อมโทรมของสภาพบ้านเมืองที่ปรากฏคือหลักฐานที่บอกชัดว่าเมืองเทียนหลางซิงต้องผ่านความวุ่นวายโกลาหลอันใดมาบ้าง!
หลินเป่ยเฉินและนักพรตหญิงชินเดินลงมาตามบันไดทางลาดจนถึงส่วนสุดท้ายของท่าเทียบเรือ
“ระวังตัวนะขอรับ”
ทันใดนั้น บริเวณโพรงหินข้างสะพานมีเสียงของเด็กน้อยผู้หนึ่งดังออกมาจากในความมืด “หากหลีกเลี่ยงได้จงอย่าเข้าไปภายในตัวเมืองยามราตรี เพราะมันอันตรายมากขอรับ”
เด็กน้อยผู้นั้นก็คือหนึ่งในกลุ่มเด็กชายที่ได้รับน้ำและอาหารไปจากมือของนักพรตหญิงชินก่อนหน้านี้
เขาเป็นเด็กชายรูปร่างผอมแห้ง ซ่อนตัวอยู่ในความมืด ลักษณะไม่ต่างไปจากคนป่ายุคดึกดำบรรพ์ มือข้างหนึ่งถือก้อนหินที่ลับจนกลายเป็นอาวุธแหลมคม ท่าทางหวาดกลัวโลกภายนอกโพรงถ้ำของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
หลังรวบรวมความกล้าพูดประโยคเหล่านั้นออกมาจบแล้ว เด็กชายก็รีบหลบเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของถ้ำ ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดต่อไปด้วยความหวาดกลัว
นักพรตหญิงชินหันหน้าไปยิ้มให้กับทางโพรงถ้ำนั้นและพยักหน้า
ก่อนจะเดินหน้าต่อไปพร้อมกับหลินเป่ยเฉิน
เมื่อมาถึงบริเวณประตูทางออกของท่าเทียบเรือ ทั้งสองคนก็เจอกับกำแพงเมืองสูงใหญ่ บนกำแพงเมืองติดตั้งรั้วลวดหนามขึ้นสนิม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บุกรุกปีนข้ามเข้าไปได้
นอกจากนี้ บนกำแพงเมืองยังมีนายทหารในชุดเกราะเหล็กเดินลาดตระเวนพร้อมอาวุธครบมือ
ประตูเมืองชั้นนอกปิดอย่างแน่นหนา
คำนวณดูด้วยสายตาคร่าว ๆ กำแพงเมืองบริเวณนี้น่าจะมีทหารยามคอยรักษาการณ์อยู่ประมาณห้าสิบคน…
การปรากฏตัวของหลินเป่ยเฉินและนักพรตหญิงชินดึงดูดความสนใจของทหารยามเหล่านั้นได้ทันที
“หยุดนะ? พวกเจ้าเป็นใคร? อย่าเข้ามาใกล้”
เสียงสายธนูถูกรั้งในอากาศ ลูกธนูถูกประทับเข้ากับคันธนู เตรียมพร้อมที่จะยิงออกมาจากความมืดได้ทุกเมื่อ
ในเวลาเดียวกันนี้ ทหารยามนับสิบชีวิตพร้อมอาวุธครบมือก็ปรากฏตัวขึ้นและเดินเข้ามาหาพวกหลินเป่ยเฉิน
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที
“หืม? เป็นนางนี่เอง นางฟ้าผู้แจกจ่ายอาหารให้แก่คนยากไร้ผู้นั้น”
หนึ่งในกลุ่มทหารยามจดจำนักพรตหญิงชินได้
รอยยิ้มแห่งความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาเช่นเดียวกับความเคารพนับถือในแววตายามจ้องมองมาที่นักพรตหญิงชิน
นายทหารหนุ่มผู้นั้นมีใบหน้ากระดำกระด่าง เมื่อเขาอ้าปากส่งเสียงหัวเราะ ก็จะพบว่าฟันหน้าของเขาขาดหายไปมองเห็นเป็นช่องว่างที่เตะตาอย่างยิ่ง
บรรยากาศที่ตึงเครียดคลี่คลายลงโดยทันที
“พวกท่านเป็นใครกัน?”
นายทหารร่างสูงใหญ่ที่น่าจะเป็นผู้นำเดินถือหอกก้าวออกมากล่าวว่า “ที่นี่เป็นเขตหวงห้าม รีบกลับไปเถอะ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรและอธิบายว่า “พวกเราอยากเข้าไปสำรวจดูในตัวเมืองหน่อยน่ะ”
“เมื่อตะวันตกดิน ก็ห้ามผู้คนเข้าเมืองแล้วขอรับ” นายทหารร่างสูงใหญ่ผู้มีผมยาวและหนวดเครารุงรัง ผิวของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้ม ร่างกายปลดปล่อยคลื่นพลังไม่ต่ำต้อย เห็นได้ชัดว่าอยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 1 นายทหารร่างสูงใหญ่กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น “สหายทั้งสอง เมืองเทียนหลางซิงหลังฟ้ามืดคือสถานที่ที่อันตรายที่สุดแล้ว ที่นี่เต็มไปด้วยผู้ร้ายหลบหนีคดี ฆาตกรฆ่าคนและเผ่าพันธุ์อสูร ผู้คนมากมายต้องนำชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่โดยไม่คาดคิด… พวกท่านรีบกลับไปเถอะ”
นี่คือคำเตือนด้วยความปรารถนาดี
หากไม่ใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้นักพรตหญิงชินนำอาหารและน้ำดื่มมาแจกจ่ายให้แก่ผู้ยากไร้บริเวณท่าเทียบเรือ เย่เทียนหลิง ผู้เป็นหัวหน้าทหารยามประจำกำแพงเมืองฝั่งท่าเทียบเรือก็คงไม่พูดจาดี ๆ เช่นนี้หรอก