เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1686 แจกจ่ายให้แก่ทุกคน
ตอนที่ 1,686 แจกจ่ายให้แก่ทุกคน
“พวกเราไม่มีเวลาแล้ว แต่อยากจะเข้าไปสำรวจเมืองดูจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินพยายามตอบกลับไปด้วยความอดทนอดกลั้น
เพราะเขาดูออกว่าทหารยามผู้รักษากำแพงเมืองเหล่านี้ไม่น่าจะใช่คนชั่วร้ายอันใด
และกำแพงเมืองแห่งนี้ก็รักษาความปลอดภัยด้วยกำลังคน ไม่มีการใช้งานค่ายอาคม หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเลยว่านายทหารยามเหล่านี้จะสามารถป้องกันการบุกรุกทางอากาศได้อย่างไร?
แล้วการรักษากำแพงเมืองอย่างตามมีตามเกิดเช่นนี้จะเกิดประโยชน์อันใด?
“กราบเรียนพี่สาว พี่ชาย สิ่งที่ท่านอาเย่บอกนั้นเป็นความจริง เมื่อตะวันตกดินแล้ว ใครก็ตามที่เข้าไปภายในตัวเมืองจะไม่เคยได้กลับออกมาอีกเลย…”
นายทหารหนุ่มคนที่จดจำนักพรตหญิงชินได้ต้องกล่าวเตือนขึ้นมาอีกครั้ง “ดูจากการแต่งกายของพวกท่าน พวกท่านคงไม่ใช่คนของอาณาจักรซือเว่ย ท่านไม่รู้หรอกว่าบัดนี้สถานการณ์ร้ายแรงเพียงใด แม้แต่ยอดฝีมือระดับสูงก็ยังต้องมาทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่มากมายนัก”
ดวงตาของนายทหารหนุ่มบอกชัดถึงความจริงใจ
“งั้นก็ไม่เป็นไร”
นักพรตหญิงชินผงกศีรษะ “พวกเราค่อยเข้าไปตอนรุ่งเช้าก็ได้…”
นางหันไปมองทางนายทหารหนุ่มขี้อายผู้นั้น “เจ้ามีนามว่าอันใด?”
นายทหารหนุ่มยกมือเกาหลังศีรษะโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าแดงระเรื่อ ก้มศีรษะตอบว่า “เซี่ยถิงอวี่ขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าเซี่ยถิงอวี่”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองลูกกระเดือกและหน้าอกของนายทหารหนุ่มจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สตรี ก็อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ว่า “ชื่อของเจ้าช่างเหมือนชื่อสตรีเหลือเกิน”
เซี่ยถิงอวี่รู้สึกอับอายจนแทบมุดแผ่นดินหนี
ชื่อของเขาที่เหมือนชื่อของสตรีเป็นเสมือนตราบาปติดตัวเซี่ยถิงอวี่ตลอดมา
แต่นี่เป็นชื่อที่บิดาของเขาตั้งให้ แม้จะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ แต่บัดนี้บิดาของเซี่ยถิงอวี่ได้เสียชีวิตลงไปแล้ว ชื่อของเขาจึงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บิดาด้วยเคยมอบเอาไว้ให้
ดังนั้น เซี่ยถิงอวี่จึงไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนชื่อของตนเอง
“พวกเราเพียงผ่านทางมาเท่านั้น” นักพรตหญิงชินมองไปที่เย่เทียนหลิงหัวหน้าทหารยามผู้มีหนวดเครารุงรังและกล่าวต่อ “และข้าก็กำลังฝึกวิชาตามสายเลือดผู้เยียวยา… ข้าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองเทียนหลางซิง ไม่ทราบว่าพวกเราพอจะมาพูดคุยกันสักหน่อยได้หรือไม่?”
“ไม่ได้เด็ดขาด”
เย่เทียนหลิงปฏิเสธโดยไม่ลังเล “ประตูเมืองยามราตรีคือสถานที่ต้องห้าม พวกท่านกลับไปก่อนเถอะ คนแปลกหน้าไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นี่”
นักพรตหญิงชินนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ ก่อนจะพยายามเรียบเรียงคำพูดและอธิบายว่า “การทำความเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้คือส่วนหนึ่งของการฝึกวิชาตามสายเลือดผู้เยียวยา และพวกเรายินดีจ่ายค่าเสียเวลาให้แก่พวกท่าน”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้”
เย่เทียนหลิงยังคงส่ายหน้าปฏิเสธอย่างแข็งขัน
เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าความปลอดภัยของชาวเมืองหลายพันชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณท่าเทียบเรือแห่งนี้ขึ้นอยู่กับตนเองเพียงผู้เดียว เพราะฉะนั้น เย่เทียนหลิงจะประมาทในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด
ความหมดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนักพรตหญิงชิน
และในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็รับทราบอย่างหนึ่งเช่นกันว่าถึงคราวที่เขาต้องออกโรงแล้ว
ในฐานะลูกผู้ชาย หากผู้หญิงของตนเองมีปัญหาแล้วเขาไม่สามารถช่วยเหลือได้ หลินเป่ยเฉินยังจะกล้าเรียกตนเองว่าลูกผู้ชายอยู่อีกได้อย่างไร?
“หากแลกเปลี่ยนกับสิ่งของเหล่านี้ล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินนำชุดเกราะและอาวุธบางส่วนที่เขาเก็บเอาไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ออกมาวางกองเป็นภูเขาขนาดย่อมเบื้องหน้านายทหารทุกคน
“ไม่ได้…”
เย่เทียนหลิงปฏิเสธตามความเคยชิน แต่พูดยังไม่ทันจบประโยค สายตาของเขาก็พบเข้ากับกองชุดเกราะและอาวุธเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน ถ้อยคำหลังจากนั้นจึงติดค้างอยู่ในลำคอ สุดท้าย ชายร่างใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าทหารยามก็พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
นี่คือข้อเสนอที่พวกเขาไม่อาจปฏิเสธ
เย่เทียนหลิงมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ย่อมมองออกว่าอาวุธและชุดเกราะเหล่านี้มีคุณภาพขนาดไหน และเขาก็รู้ดีอีกเช่นกันว่าพวกของตนเองจำเป็นต้องเปลี่ยนชุดเกราะและอาวุธชิ้นใหม่กันเสียที
สำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณท่าเทียบเรือ อาวุธและชุดเกราะเล่นแร่แปรธาตุเหล่านี้คือความฝันที่ไกลเกินเอื้อม
เจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวท่าทางเจ้าเล่ห์ผู้นี้รู้ดีว่าควรจะเจรจาต่อรองกับพวกเขาอย่างไร
“ท่านอาเย่ พี่สาวกับพี่ชายเป็นคนดี ไฉนเราถึงไม่ให้พวกเขาพักค้างคืนด้วยกันเล่า…” เซี่ยถิงอวี่ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป และรีบกล่าวขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้น
แต่ความปรารถนาของเซี่ยถิงอวี่ไม่ได้มีสิ่งใดซับซ้อน เขาไม่ได้ต้องการกระบี่หรือชุดเกราะวิเศษเหล่านั้น สิ่งที่เซี่ยถิงอวี่ต้องการก็คือการได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนที่ตนเองหลงรักให้ได้มากที่สุดเท่านั้น
“อ้อ… จริงด้วยสินะ”
เย่เทียนหลิงยอมตกลงในที่สุด
ความจริง เขาไม่อยากตกลงเลย
แต่จนใจที่อาวุธและชุดเกราะเหล่านั้นยากต่อการปฏิเสธจริง ๆ
ก่อนหน้านี้ ท่าเทียบเรือแดนเหนือของเมืองเทียนหลางซิงตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายโกลาหล ความปลอดภัยของชีวิตผู้คนกลายเป็นศูนย์ อัตราการโจมตีประตูเมืองของเผ่าพันธุ์อสูรยามราตรีเพิ่มมากขึ้น หากบรรดานายทหารยามได้รับชุดเกราะและอาวุธเล่นแร่แปรธาตุระดับสูงเหล่านี้ไปใช้งาน พวกเขาก็น่าจะยื้อเวลาในการรักษาเมืองแห่งนี้ได้นานขึ้น
“ตัดสินใจได้ดี ของทั้งหมดนี้เป็นของพวกท่าน”
หลินเป่ยเฉินยิ้มและนำเก้าอี้สองตัวมาตั้งไว้ข้างกองไฟ ก่อนจะนั่งลงเคียงข้างนักพรตหญิงชิน
เปลวไฟปะทุตัวดังเปรี๊ยะปร๊ะ
เย่เทียนหลิงยังคงอยู่รับรองแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่าน โดยที่มีกลุ่มทหารยามเริ่มมายืนรายล้อมด้วยความสนใจ
“พวกท่านอยากจะทราบสิ่งใด?”
เย่เทียนหลิงยกก้อนหินก้อนหนึ่งมานั่งแทนเก้าอี้อยู่ข้างกองไฟและถามแขกทั้งสองคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ฮ่า ๆๆ ไม่ต้องเป็นกังวล”
หลินเป่ยเฉินนำโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งออกมาตั้งพร้อมอาหารและสุราชั้นดีจำนวนมาก “ไหน ๆ กว่าจะได้เข้าไปตัวเมืองก็ต้องรอจนถึงตอนเช้า พวกเรามาดื่มกันไปพูดคุยกันไปดีหรือไม่?”
ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองอาหารและสุราบนโต๊ะใหญ่ด้วยความหิวกระหาย
ได้ยินเสียงน้ำลายไหลในความมืด
แม้แต่เย่เทียนหลิงก็ไม่มีข้อยกเว้น
กลิ่นของสุราและอาหารเหล่านั้นเย้ายวนใจมากเกินไป
ในที่สุด เย่เทียนหลิงก็สามารถเอาชนะความหิวโหยของตนเองได้สำเร็จ เขากลืนน้ำลายและส่ายศีรษะปฏิเสธ “พวกเราดื่มสุราไม่ได้”
การดื่มสุราระหว่างปฏิบัติหน้าที่ถือเป็นการละเมิดกฎทหารขั้นรุนแรง
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและกล่าวต่อไป “ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกข้าจะดื่มสุรา ส่วนพวกท่านก็รับประทานอาหารดีหรือไม่?”
ครั้งนี้เย่เทียนหลิงไม่ได้ปฏิเสธอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างและหันไปผายมือเชิญเซี่ยถิงอวี่ก่อนกล่าวว่า “ช่วยอะไรข้าสักหน่อยสิ นำอาหารไปแจกจ่ายให้แก่ นายทหารทุกคน บอกพวกเขาว่าคืนนี้จงกินกันให้เต็มที่ ทุกคนจะได้รับประทานกันอย่างทั่วถึง”
นายทหารหนุ่มขี้อายหันไปมองหน้าเย่เทียนหลิง เมื่อได้รับคำอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา เซี่ยถิงอวี่ก็รีบเดินนำอาหารไปแจกจ่ายให้แก่เพื่อนทหารที่อยู่โดยรอบ
บรรดานายทหารยามที่เดินลาดตระเวนอยู่บนกำแพงเมืองก็ได้รับอาหารเช่นกัน
บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น
หลินเป่ยเฉินนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ของตนเองและดื่มไวน์แดงอย่างมีความสุข
กลยุทธ์ของเขาประสบความสำเร็จ
หลังจากนี้ การสืบสาวข้อมูลต่าง ๆ ก็เป็นหน้าที่ของนักพรตหญิงชินแล้ว
หลินเป่ยเฉินเพียงมีหน้าที่สนับสนุนเป้าหมายของนักพรตหญิงชินให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีเท่านั้น
นักพรตหญิงชินพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที
“ขอสอบถามพี่เย่ เกิดอะไรขึ้นกับท่าเทียบเรือแห่งนี้หรือ? หากข้าจำไม่ผิด ที่นี่เป็นท่าเทียบเรือที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเทียนหลางซิง หรือจะบอกว่าเป็นท่าเทียบเรือที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรซือเว่ยก็ย่อมได้ เหตุไฉนมันจึงกลายเป็นท่าเทียบเรือร้างไปเช่นนี้เล่า?”
นักพรตหญิงชินถามด้วยความสงสัย