เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1687 เทพบุตรผู้ผดุงความยุติธรรม
ตอนที่ 1,687 เทพบุตรผู้ผดุงความยุติธรรม
เย่เทียนหลิงถอนหายใจและอธิบายว่า “เรื่องมันยาวน่ะขอรับ ต้นเหตุแห่งหายนะเกิดขึ้นเพราะป้ายหยกนกเพลิง เกิดข่าวลือไปทั่วอาณาจักรซือเว่ยว่าใครก็ตามที่ได้ครอบครองป้ายหยกชนิดนี้ ก็จะมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมงานชุมนุมมังกรเหินฟ้า ซึ่งนอกจากจะได้แต่งงานกับธิดาขององค์จักรพรรดิแล้ว ก็ยังจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์จักรพรรดิองค์ใหม่แห่งอาณาจักรซือเว่ยอีกด้วย”
เดี๋ยวก่อนนะ?
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็กระตุกวูบ
ป้ายหยกนกเพลิงใช่ป้ายชนิดเดียวกันกับที่เขามีอยู่หรือเปล่านะ?
มันมีค่ามากขนาดนั้นเชียวหรือ?
เย่เทียนหลิงหยุดชะงักเล็กน้อยและกล่าวต่อไป “ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมา บรรดาผู้คนที่มีอำนาจตามหัวเมืองต่าง ๆ ของอาณาจักรซือเว่ยต่างก็ทำสงครามแย่งชิงป้ายหยกนกเพลิง มีผู้คนจำนวนมากต้องเสียชีวิตลง แม้แต่พวกเผ่าพันธุ์อสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยังยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว… และป้ายหยกนกเพลิงชิ้นหนึ่งก็เกิดข่าวลือว่าตกไปอยู่ในมือของเทพบุตรอัจฉริยะคนใหม่แห่งอาณาจักรซือเว่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
นักพรตหญิงชินยกมือบอกให้เย่เทียนหลิงอธิบายเรื่องราวต่อไปในความเงียบ
เย่เทียนหลิงจึงรับหน้าที่อธิบายต่อไป “เทพบุตรอัจฉริยะผู้นั้นมีนามว่าสวีเสี่ยวฉี เขาคือบุรุษหนุ่มรูปงามผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ว่ากันว่าในดินแดนแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดจะหล่อเหลามากไปกว่าเขาอีกแล้ว นอกจากนี้ เขายังมีสายเลือดชนิดพิเศษ…”
“ช้าก่อน”
หลินเป่ยเฉินยกมือขัดจังหวะขึ้นมาทันที “เป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม? รูปงามมากกว่าข้าอีกหรือ?”
เย่เทียนหลิงหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาจริงจัง “กวาดตาดูทั่วอาณาจักรซือเว่ย ไม่มีบุรุษหนุ่มผู้ใดจะหล่อเหลามากไปกว่าสวีเสี่ยวฉีอีกแล้ว… ข้าเชื่อเช่นนั้น”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง
เขาทำสีหน้าเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที
แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เย่เทียนหลิงกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ทว่า เมื่อข้าได้มาพบกับคุณชาย ข้าจึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเชื่อนั้นผิดไปถนัดใจ ไม่มีผู้ใดจะหล่อเหลามากไปกว่าคุณชายอีกแล้วขอรับ!”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มด้วยความปลาบปลื้ม
อารมณ์ขุ่นมัวจางหายไปทันที
“พี่เย่ เชิญกล่าวต่อไปเถอะ”
นักพรตหญิงชินงุนงงเล็กน้อยเกี่ยวกับการมีปัญหาของหลินเป่ยเฉิน แต่นางก็นำหัวข้อสนทนากลับเข้าประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว
เย่เทียนหลิงกินเนื้อจระเข้ย่างอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนกล่าวว่า “สวีเสี่ยวฉีผู้นี้มีที่มาที่ไปลึกลับเป็นปริศนา แต่ขั้นพลังของเขาแข็งแกร่งมาก ตอนอายุยี่สิบปี เขาก็อยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 แล้ว มิหนำซ้ำ เขายังฝึกสายเลือดผู้อัญเชิญ จึงมีความสามารถพิเศษในการอัญเชิญวิญญาณคนตายมาเสริมพลังในการต่อสู้ให้แก่ตนเอง”
“แต่ที่สำคัญก็คือ สวีเสี่ยวฉีมีวาสนาดียิ่งนัก เขาเป็นที่ลุ่มหลงของสตรีจำนวนมาก แม้แต่บรรดาคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่แห่งอาณาจักรซือเว่ยก็ไม่มีข้อยกเว้น ทุกสำนักและทุกตระกูลต่างก็ยินดีต้อนรับสวีเสี่ยวฉีเข้าเป็นสมาชิกของพวกเขา จนกระทั่งในที่สุด ก็มีผู้คนขนานนามให้เขาเป็นเทพบุตรผู้ผดุงความยุติธรรมแห่งใต้หล้า…”
“พรวด…”
หลินเป่ยเฉินสำลักไวน์แดงที่กำลังดื่มเข้าไปออกมาทันทีและอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอีกครั้ง “ว่าไงนะ? เป็นเทพบุตรผู้ผดุงความยุติธรรมแห่งใต้หล้าเชียวหรือ? คนผู้นี้เป็นใครกัน? นี่มันไร้ยางอายมากกว่าชื่อของเซี่ยถิงอวี่อีกนะ”
เซี่ยถิงอวี่นายทหารหนุ่มขี้อายตลอดเวลาที่ผ่านมาเอาแต่นั่งแอบมองนักพรตหญิงชิน แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากปากของหลินเป่ยเฉิน เขาก็ได้แต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาผู้ใดอีกต่อไป
เย่เทียนหลิงลุกขึ้นยืนมองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “แต่แน่นอน... ว่าไม่มีผู้ใดจะเหมาะสมกับฉายาเทพบุตรผู้ผดุงความยุติธรรมแห่งใต้หล้ามากไปกว่าคุณชายอีกแล้วขอรับ!!”
หลินเป่ยเฉินกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง
ถึงมันจะดูหลงตัวเองไปหน่อยก็ตาม
แต่มีใครบ้างไม่อยากถูกชื่นชม?
นักพรตหญิงชินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว ก่อนจะส่งสัญญาณบอกให้หลินเป่ยเฉินอย่าเพิ่งก่อกวนและถามต่อไป “หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“เมื่อสวีเสี่ยวฉีได้รับป้ายหยกนกเพลิง เดิมทีเขาตั้งใจเก็บเป็นความลับ แต่ไม่ทราบเลยว่าข่าวรั่วไหลออกไปได้อย่างไร สุดท้ายก็เกิดการต่อสู้แย่งชิงอย่างอำมหิต สวีเสี่ยวฉีตกอยู่ในอันตราย แต่มีสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่งที่ชื่นชอบเขาเป็นอย่างยิ่ง นางยินดีใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองมีเพื่อปกป้องคุ้มครองสวีเสี่ยวฉี และเมื่อพายุร้ายทั้งหมดผ่านพ้นไป สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น”
เย่เทียนหลิงเล่ามาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินอดขัดจังหวะขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
“สิ่งที่ทุกคนคิดไม่ถึงอย่างนั้นหรือ? ฮ่า ๆๆ รับฟังเพียงเท่านี้ข้าก็รู้แล้วว่าสตรีผู้นั้นวางแผนตลบหลังสวีเสี่ยวฉี หมายจะยึดครองป้ายหยกนกเพลิงให้แก่ตระกูลของตนเองใช่หรือไม่?”
นี่คือเรื่องราวที่สามารถพบเห็นได้ในละครโทรทัศน์ทั่วไป
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหลิงกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ มิหนำซ้ำ นายทหารร่างใหญ่ยังมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่พอใจและกล่าวว่า “คุณชายผู้สูงส่งอย่าได้มองโลกในแง่ร้ายเช่นนั้น พวกเราชาวอาณาจักรซือเว่ยยังคงมีจิตใจอันดีงาม เมื่อผู้คนตกหลุมรักผู้ใดแล้ว ย่อมสามารถสละชีวิตของตนเองได้โดยไม่มีข้อแม้ และในกรณีของสวีเสี่ยวฉีก็เช่นกัน ความรักของสตรีผู้นั้นคือความรักที่บริสุทธิ์ยิ่งนัก”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เชี่ยเอ๊ย!
ทำไมตัวละครในเรื่องเล่าของเย่เทียนหลิงถึงเป็นผู้คนจิตใจดีงามกันหมดเลยเนี่ย ฟังไปฟังมาหลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนเลวทรามต่ำช้าขึ้นมาอย่างไรชอบกล
“พี่เย่ เชิญกล่าวต่อเถอะ”
นักพรตหญิงชินว่า
เย่เทียนหลิงนั่งลงอีกครั้งและบอกเล่าต่อไป “ในภายหลังเกิดภัยคุกคามจากผู้คนนอกอาณาจักรซือเว่ย และเมื่อเรื่องของป้ายหยกนกเพลิงรั่วไหลออกไป คนนอกเหล่านั้นก็กดดันให้ตระกูลของหญิงสูงศักดิ์ส่งตัวสวีเสี่ยวฉีให้กับพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าตระกูลของนางย่อมปฏิเสธ…”
“สุดท้าย ค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวงเมื่อหกเดือนก่อน ตระกูลของหญิงสูงศักดิ์ผู้นั้นก็ถูกสังหารหมดสิ้น มีผู้คนถูกสังหาร 3,982 ชีวิต พวกเขาต่างก็ถูกนำตัวมาแขวนคออยู่หน้าจวนที่พักของตระกูลผู้สูงศักดิ์ หญิงสาวผู้นั้นและบิดามารดาของนางต้องถูกทรมานอย่างหนักก่อนเสียชีวิตด้วยความเจ็บปวดทรมาน”
เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ สีหน้าของหลินเป่ยเฉินก็แปรเปลี่ยนไป
นักพรตหญิงชินเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย
เย่เทียนหลิงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมด้วยความโกรธแค้น “แต่จนแล้วจนรอด พวกเขาก็ไม่พบเจอตัวของสวีเสี่ยวฉี เช่นเดียวกับป้ายหยกนกเพลิงชิ้นนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงปิดเมืองเทียนหลางซิงและออกไล่ล่าฆ่าฟันผู้คนบริสุทธิ์นับหมื่นชีวิต เพียงครึ่งเดือน ศพมนุษย์ก็กองเป็นภูเขาเลากา สายเลือดไหลรินราวกับแม่น้ำ… หากคนนอกเหล่านั้นสงสัยในตัวบุคคลผู้ใด… พวกมันก็จะฆ่าบุคคลผู้นั้นทิ้งโดยทันที!”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เย่เทียนหลิงก็ทุบก้อนหินที่ตั้งอยู่ด้านข้างแตกกระจายไปด้วยความเดือดดาล
เย่เทียนหลิงกล่าวต่อไปว่า “แต่นับเป็นเรื่องราวเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่รู้จบ เมืองเทียนหลางซิงเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายโกลาหล เผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์อสูรยื่นมือเข้ามาแทรกแซง และเพียงครึ่งปีเท่านั้น บรรดาอสูรกลืนดาวก็บุกมาโจมตีท่าเทียบเรือของพวกเรา พวกมันดูดกลืนพลังชีวิตของเมืองแห่งนี้ไปหมดสิ้น สภาพแวดล้อมของพวกเราเลวร้ายลง ทั้งน้ำดื่มและอาหารล้วนขาดแคลน…”