เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1704 กองทัพเรือเหาะชุดใหม่
ตอนที่ 1,704 กองทัพเรือเหาะชุดใหม่
ชายเสื้อคลุมสีขาวพลิ้วไสว เช่นเดียวกับผมสีดำยาวสลวย
หลินเป่ยเฉินลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาเบิกกว้าง คล้ายกับต้องการประกาศสงคราม
ช่วงเวลาแห่งความลังเลใจผ่านไป
สุดท้าย กองทัพโลหิตเหล็กที่อยู่ด้านล่างก็ตัดสินใจปลดอาวุธตนเอง
กระบี่ ดาบ หอกและคันธนูที่ถืออยู่ในมือถูกวางลงบนพื้นดิน
นักเวทวางไม้คทา
ไม่มีผู้ใดไม่กล้าเชื่อฟังหลินเป่ยเฉิน
เพราะการทำลายกองทัพเรือเหาะทั้งห้าสิบลำในครั้งเดียวนั้น คือสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเด็กหนุ่มแข็งแกร่งเพียงใด
ค่ายอาคมที่คุ้มกันเรือเหาะมีความแข็งแกร่งมากกว่าค่ายอาคมในกองทัพบนพื้นดินไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แต่เรือเหาะเหล่านั้นก็ยังถูกกำจัดทิ้งไปในพริบตาเดียว
แล้วพวกเขาล่ะ?
สงครามในยุคสมัยของเส้นทางดาราจักร... เป็นสงครามที่ตัดสินกันด้วยยอดฝีมือระดับสูงเท่านั้น
ยอดฝีมือระดับสูงต้องสู้กับยอดฝีมือระดับสูงด้วยกัน บรรดานายทหารชนชั้นธรรมดามีหน้าที่เป็นเพียงผู้เฝ้าดูเท่านั้น เพราะหากให้พวกเขาไปต่อสู้กับยอดฝีมือเหล่านั้น ก็คงมีจุดจบอยู่เพียงอย่างเดียวคือ…
ความตาย!
เสียงโห่ร้องดังขึ้นทั่วเขตหลานเหนี่ยวอย่างควบคุมไม่ได้
ราวกับภูเขาไฟระเบิด
เป็นเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ
ชาวเมืองทราบแล้วว่านอกจากตนเองจะรอดพ้นภัยสงครามแล้ว พวกเขายังได้รับการคุ้มครองจาก ‘เซียนกระบี่’ เป็นอย่างดีอีกด้วย
ดวงตาของเย่เทียนหลิงแสดงออกถึงความตกตะลึง
เขาไม่เคยเห็นคนที่สง่างามเช่นนี้มาก่อน
เขาไม่เคยเห็นวิชากระบี่ที่น่าเกรงขามถึงเพียงนี้มาก่อน
และนี่เป็นครั้งแรกที่นายทหารร่างใหญ่ได้พบเห็นการทำลายล้างกองทัพเรือเหาะในกระบวนท่าเดียว
แม้แต่ใบหน้าของนักพรตหญิงชินก็แสดงออกถึงความตกตะลึงเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินมีฝีมือแข็งแกร่งกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้
บนท้องฟ้า
เด็กหนุ่มโยนศีรษะของศัตรูทิ้งไป
บรรดานายทหารในกองทัพโลหิตเหล็กที่อยู่ด้านล่างต่างพากันคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยความหวาดกลัว
“ยิ่งสูงยิ่งหนาวมันเป็นเช่นนี้นี่เองสินะ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโดดเดี่ยว
…
เขตหลานเหนี่ยว
ชาวเมืองได้ยินเสียงถอนหายใจนั้น
ไม่ว่าจะเป็นคนงานชนชั้นกรรมกร พ่อค้า แม่ค้าหรือนายทหารที่ประจำการอยู่บนกำแพงเมือง ทุกคนต่างก็จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา
เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่
ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉินที่พวกเขาเคยได้ยินมากลับกลายเป็นเรื่องจริง
ปรากฏว่าเซียนกระบี่ผู้นี้มีความสามารถมากพอที่จะคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่พวกเขาได้จริง ๆ
เสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ ผมสีดำยาวสยาย แสงตะวันที่ส่องต้องร่างกาย บัดนี้ เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลามีความสง่างามเกินกว่าที่มนุษย์ผู้หนึ่งจะพึงมีได้อีกแล้ว
ภาพลักษณ์เช่นนี้ประทับลงไปในหัวใจของผู้คนในชนิดที่ไม่มีวันลบเลือนทิ้งไปได้
หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงแววตาแห่งความเคารพที่จ้องมองมายังตนเอง
ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
จงบูชาข้าสิ
อุ๊วะฮ่า ๆๆ
หลินเป่ยเฉินลอยตัวอยู่กลางอากาศและรับคำสรรเสริญต่อไป
ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็พยายามโคจรพลังปราณที่เก็บอยู่ในแขนซ้ายของตนเอง
แขนซ้ายของเขาเก็บพลังปราณที่แตกต่างกันอยู่ถึงสามชนิด…
พลังปราณปีศาจ
นี่เป็นพลังปราณที่เขาดูดซับมาจากสุสานโบราณใต้ดินในเมืองหลันจี๋ซิง
พลังปราณอสูร
เป็นพลังปราณอสูรระดับจอมจักรพรรดิที่เขาดูดซับระหว่างเดินทางในเส้นทางดาราจักร
และพลังปราณมนุษย์
เป็นพลังปราณที่เขาดูดซับจากฮันม่อซูเมื่อสักครู่นี้
พลังปราณที่แตกต่างกันทั้งสามชนิดรวมอยู่ในแขนซ้ายและมือซ้ายของเขาอย่างราบรื่น
ความผิดปกติเดียวก็คือแขนซ้ายของเขาดูจะบวมโตผิดสัดส่วนมากไปหน่อยเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าหากเขาดูดซับพลังเพิ่มเข้าไปอีก แขนซ้ายของเขาอาจจะระเบิดก็เป็นได้
แต่โชคดีที่วิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณได้ถ่ายเทพลังปราณในแขนซ้ายให้กลายเป็นความแข็งแกร่งของมวลกล้ามเนื้อแทน
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณมีความสามารถเกินจินตนาการนัก
การหลอมรวมพลังเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย คือความสามารถที่เข้ากันได้ดีอย่างสมบูรณ์แบบกับพลังในการกลืนกินของมู่ซินเยว่ เรียกได้ว่าเป็นการจับคู่ชนิดกิ่งทองใบหยกที่แท้จริง
ตาเฒ่าหวังจงโชคดีเป็นบ้า คัมภีร์มีตั้งเยอะตั้งแยะ ดันเลือกหยิบเล่มที่มีความสามารถถึงขนาดนี้ขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่ทราบ
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ หลินเป่ยเฉินก็มักจะรู้สึกไม่อยากเชื่อ
คัมภีร์เคลื่อนย้ายกระแสปราณต้องมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาแน่ ๆ
หากมีผู้คนล่วงรู้ถึงความสามารถของมัน เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าย่อมมีผู้คนเป็นจำนวนมากยินดีทำสงครามแย่งชิงคัมภีร์เล่มนี้อย่างแน่นอน
แต่หมดเวลาเอาความดีความชอบแล้ว
หลินเป่ยเฉินลอยตัวกลับไปที่เรือเหาะเซียนกระบี่
บัดนี้ บริเวณเส้นขอบฟ้าที่ห่างไกลเกิดแสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับ ลูกไฟจำนวนมากระเบิดตัวในอากาศ ลักษณะคล้ายกับกำลังมีดาวหางพุ่งตกลงมาที่เขตหลานเหนี่ยวเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน…
“นั่นมัน… เรือเหาะไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลง
ทันใดนั้น สิ่งที่คาดเดาว่าจะเป็นกลุ่มดาวหางก็ปรากฏตัวให้เห็นอย่างเด่นชัด แท้ที่จริงแล้วพวกมันคือกองทัพเรือเหาะที่มีจำนวนมากกว่าเจ็ดสิบลำ
หืม?
กำลังเสริมของพวกหลินซิงเฉิงมาถึงแล้วหรือ?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
…
ณ ท่าเทียบเรือ
เรือเหาะลำหนึ่งที่มีสภาพเก่าแก่จอดนิ่งอยู่กับที่
“นายท่าน มาเร็วเจ้าค่ะ”
“ถึงตาท่านโยนลูกเต๋าแล้ว”
“เหตุไฉนวันนี้นายท่านจึงดูใจลอยจังเลย?”
กลุ่มเด็กสาวในชุดเสื้อผ้าบางหวิวกำลังส่งเสียงหัวเราะคิกคักอยู่ในสระน้ำบนดาดฟ้าเรือเหาะ นี่คือทัศนียภาพที่งดงามยิ่งนัก แสงตะวันส่องต้องผิวพรรณที่ขาวเนียนสะท้อนประกายกับหยดน้ำใสกระจ่าง…
บนดาดฟ้าเรือเหาะมีบุรุษอยู่เพียงผู้เดียว
เป็นบุรุษร่างสูงผู้มีผมยาวสลวยสีแดงเพลิง
ทั่วร่างกายของเขาสวมใส่กางเกงเพียงตัวเดียว ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นถึงมัดกล้ามหกลูกกำยำบริเวณหน้าท้อง แขนขาของเขาก็มีมัดกล้ามสมส่วนสมบูรณ์แบบ ยิ่งทำให้ผิวสีน้ำตาลเข้มดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด
แน่นอนว่าคนผู้นี้ย่อมต้องเป็นท่านผู้กล้าแซ่โจว วีรบุรุษผู้คอยดูแลท่าเทียบเรือในเงามืด
เขาคือบุรุษที่มีหน้าตาเหมือนคนอายุยี่สิบปีเศษเท่านั้น
ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ดูขัดกับร่างกายกำยำสมบุกสมบันยิ่งนัก
บุรุษหนุ่มกำลังจับราวกั้นดาดฟ้าเรือด้วยสองมือ ดวงตาเหม่อมองไปยังทิศทางของเขตหลานเหนี่ยวที่อยู่ด้านหลังกำแพงเมืองลึกเข้าไป
“ความแข็งแกร่งระดับนี้… หรือว่าจะเป็น…”
ท่านผู้กล้าแซ่โจวตกตะลึง
ความสุขที่หาได้ยากยิ่งปรากฏขึ้นบนสีหน้าของบุรุษหนุ่ม
และด้วยความที่ตื่นเต้นมากเกินไป มือที่จับราวกั้นดาดฟ้าเรือของท่านผู้กล้าแซ่โจวจึงออกแรงมากเกินไป รู้ตัวอีกที ราวกั้นเหล็กก็ถูกมือของเขากำจนขาดออกจากกันแล้ว
“นายท่าน มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
สตรีผู้งดงามในชุดเสื้อคลุมสีแดงนางหนึ่งเดินเยื้องย่างเข้ามาใกล้
นางเป็นสตรีจมูกโด่ง ผิวขาว ดวงตาเป็นประกาย ริมฝีปากแดง ใบหน้างดงามปราศจากตำหนิ เวลายิ้มพรายมีเสน่ห์สามารถกระชากใจบุรุษได้ทุกช่วงวัย
นางมีส่วนสูงมากกว่าสตรีธรรมดา เท้าเปล่าที่ขาวเนียนตัดกับชุดเสื้อคลุมสีแดงสดที่แจ่มจ้า ยิ่งเสริมสร้างให้เกิดเป็นเสน่ห์เย้ายวนใจชนิดหนึ่ง