เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1707 ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน
ตอนที่ 1,707 ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน
“เอ่อ… สวัสดี ไนซ์ ทู มีต ยูเด้อสู”
หลินเป่ยเฉินต้อนรับการมาถึงของโจวเทียนอวิ๋นด้วยความอบอุ่น
โจวเทียนอวิ๋นหยุดชะงัก
เขาเข้าใจเพียงคำแรกเท่านั้น
สีหน้าปรากฏความประหลาดใจ
โจวเทียนอวิ๋นจับมือกับหลินเป่ยเฉินและมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความพิศวง ดวงตาของเขาบอกชัดถึงการคาดหวังในบางสิ่งบางอย่าง…
หืม?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
หมอนี่จะมามองตาอะไรเขานักหนาเนี่ย?
“นายน้อย ท่านผู้กล้าแซ่โจวมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักราระดับ 2 มีความชำนาญเรื่องการต่อสู้ในระยะประชิดตัว เช่นเดียวกับการต่อสู้ด้วยมือเปล่า นับเป็นผู้ฝึกวิชาบู๊ที่หาได้ยากยิ่งนัก”
หวังจงเดินเข้ามาแนะนำด้วยรอยยิ้ม
จอมเทพจักราระดับ 2 อย่างนั้นหรือ?
นับเป็นผู้มีพลังที่อยู่ในขั้นสูงสุดเท่าที่หลินเป่ยเฉินเคยพบเจอมา
นักพรตหญิงชินคาดเดาได้ถูกต้องจริง ๆ ด้วย
โจวเทียนอวิ๋นผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่ไม่ธรรมดา
และด้วยความที่มีฝีมือแข็งแกร่งเช่นนี้เอง เขาจึงสามารถคุ้มครองผู้บริสุทธิ์บริเวณท่าเทียบเรือได้อย่างปลอดภัยเสมอมา
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านผู้กล้าแซ่โจวมานานแล้ว”
หลังจากจับมือกันพอเป็นพิธี หลินเป่ยเฉินก็กล่าวออกมาตามมารยาท โดยที่เด็กหนุ่มรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
เหมือนมานัดบอดอย่างไรชอบกล
เขาควรพูดอย่างไรต่อไปดีนะ?
หลินเป่ยเฉินมองไปที่หวังจง
หวังจงเข้าใจความหมายในทันใด จึงรีบกล่าวว่า “นายน้อย ท่านผู้กล้าแซ่โจวประทับใจกับแนวคิดของท่าน จึงยินดีตอบรับคำเชิญเข้าร่วมกองทัพเซียนกระบี่ของพวกเรา นับจากนี้เป็นต้นไป ท่านผู้กล้าแซ่โจวจะทำตามคำสั่งของนายน้อยแต่เพียงผู้เดียวขอรับ”
เอ่อ…
แนวคิดของเขาอย่างนั้นหรือ?
แนวคิดอะไรกัน?
คำถามใหญ่ปรากฏขึ้นในหัวของหลินเป่ยเฉิน
แต่เด็กหนุ่มก็สามารถไหลตามน้ำได้อย่างมืออาชีพ “ประเสริฐ เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากท่านผู้กล้าแซ่โจว แผนการของพวกเราก็คงราบรื่นมากขึ้นแล้ว”
“ใช่แล้วขอรับ พวกเราไม่ต่างจากปลากระดี่ได้น้ำ ไม่ต่างจากน้ำค้างบนยอดหญ้า ไม่ต่างจากชู้รักได้หวนคืน…”
หวังจงไม่ปล่อยให้โอกาสในการประจบประแจงหลุดลอยไป
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าด้วยแววตาดุดัน
หวังจงชักจะพูดมากเกินไปแล้ว
เด็กหนุ่มคิด
หวังจงพูดอะไรไม่ออก ได้แต่สงสัยอยู่ในใจว่าตนเองทำอะไรผิด?
“คุณชายผู้สูงส่งชมเชยกันเกินไปแล้ว”
โจวเทียนอวิ๋นรีบประสานมือคำนับด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน “นับจากวันนี้ไป พวกเราจะเป็นสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟไปที่สมรภูมิใด พวกเราก็จะไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ต่อให้ต้องตายกลายเป็นผีไร้ญาติ พวกเราก็จะตายไปพร้อมกัน”
เอ่อ…
ฟังดูแปลก ๆ ชอบกลแฮะ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
ก่อนหน้านี้ ท่านผู้กล้าแซ่โจวหรือโจวเทียนอวิ๋นนั้นไม่เคยเห็นหลินเป่ยเฉินอยู่ในสายตา แล้วทำไมอยู่ดี ๆ โจวเทียนอวิ๋นจึงได้ประพฤติตัวอ่อนน้อมต่อเขาถึงเพียงนี้?
โจวเทียนอวิ๋นได้รับความเคารพจากผู้คนทั่วท่าเทียบเรือ เป็นยอดฝีมือระดับสูง แต่เพียงได้พบหน้าหลินเป่ยเฉินเท่านั้น อากัปกิริยาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หรือว่าเขาจะหลงเสน่ห์หลินเป่ยเฉินเข้าให้เสียแล้ว?
หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อเลยว่าเสน่ห์ของตนเองจะรุนแรงถึงเพียงนี้
แต่ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งรู้สึกสงสัยใจมากเท่านั้น
หรือว่าหวังจงจะใช้วาจาหว่านล้อมเป่าหูโจวเทียนอวิ๋นจนโจวเทียนอวิ๋นยินยอมเข้าร่วมกองทัพเซียนกระบี่ของหลินเป่ยเฉินโดยไม่มีข้อแม้?
“ขอบคุณท่านผู้กล้าแซ่โจวมากแล้ว”
ในชาติภพที่แล้ว หลินเป่ยเฉินเคยดูสามก๊กมาหลายรอบ เขาจึงรู้ดีว่าการซื้อใจขุนพลหน้าใหม่นั้นคือสิ่งที่สำคัญเพียงใด
หวังจงรับช่วงต่อโดยการกล่าวว่า
“นายน้อยขอรับ กองทัพเซียนกระบี่ของเรากำลังขาดแม่ทัพทะลวงฟันอยู่พอดี เราน่าจะแต่งตั้งให้ท่านผู้กล้าแซ่โจว…”
หลินเป่ยเฉินสวนขึ้นโดยไม่ลังเลว่า “ประเสริฐ จัดการตามนั้น… เตรียมจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านแม่ทัพโจวเข้าสู่กองทัพของพวกเรา งานเลี้ยงครั้งนี้ เราจะจัดสามวันสามคืนไม่มีเลิกรา”
หวังจงกะพริบตาปริบ ๆ
นายน้อย ท่านเองก็เล่นใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย
จัดงานเลี้ยงต้อนรับสามวันสามคืนเชียวหรือ?
“ช้าก่อนขอรับ”
ทันใดนั้น โจวเทียนอวิ๋นกล่าวแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเป็นเพียงแม่ทัพหน้าใหม่ในกองทัพของพวกท่าน ยังไม่เคยสร้างความดีความชอบอันใด แล้วจะมีหน้ารับเกียรติจัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เพียงนี้ได้อย่างไร… ข้าได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพใหญ่หลินเป่ยเฉินปรารถนาที่จะอยากจะยึดครองเขตแดนทั้งเจ็ดแห่งเมืองเทียนหลางซิง ในเมื่อข้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพแห่งหน่วยทะลวงฟัน ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ขอสร้างความดีความชอบในการยึดครองเขตเมืองตงหยา เซวียนโจว เจิ้งติง ม่อหลิงและหานเฉาให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยกลับมาจัดงานเลี้ยงต้อนรับในภายหลังดีกว่าขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที
เขาดีใจจนอดกล่าวไม่ได้ว่า “ประเสริฐที่สุด สมแล้วที่เป็นท่านผู้กล้าแซ่โจวในตำนาน... ข้าจะรอฟังข่าวดีจากท่าน”
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่หลินเป่ยเฉินมักจะรู้สึกเก้อเขินทุกครั้งที่อยู่ร่วมกับโจวเทียนอวิ๋นผู้นี้
…
ความเป็นจริงไม่ได้ต่างไปจากสิ่งที่หวังจงกล่าวเอาไว้แม้แต่น้อย
ท่านผู้กล้าแซ่โจวเป็นยอดฝีมืออย่างที่หาได้ยากยิ่ง
เขาใช้เวลาเพียงสามวันเท่านั้นก็สามารถยึดครองเขตแดนทั้งห้าได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้ ฐานอำนาจของหลินซิงเฉิงจึงตกมาอยู่ในการครอบครองของกองทัพเซียนกระบี่หมดสิ้นแล้ว
เมื่อเห็นรายงานจากสนามรบที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกตาลายขึ้นมาทันที
“สามารถสังหารแม่ทัพใหญ่ตู้ซือเติ้งได้ในหมัดเดียว…”
“สามารถจัดการแม่ทัพใหญ่ซยงฉู่ม่อได้ในกระบวนท่าเดียว”
“โจวเทียนอวิ๋นสามารถตีฝ่าวงล้อมกองทัพศัตรูออกมาได้ในหกกระบวนท่าเท่านั้น และหลังจากนั้น เขาก็จัดการกวาดล้างกองทัพศัตรูจนสิ้นซาก...”
ในเส้นทางดาราจักร หลินเป่ยเฉินไม่เคยพบเห็นยอดฝีมือผู้ใดมีความดุดันถึงเพียงนี้มาก่อน
“โจวเทียนอวิ๋นแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินตกตะลึง
ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน เขตแดนทั้งเจ็ดที่เคยเป็นฐานอำนาจของหลินซิงเฉิงก็ถูกตีแตกอย่างยับเยิน
โจวเทียนอวิ๋นสามารถเอาชนะบรรดาแม่ทัพใหญ่ยอดฝีมือได้โดยไม่ลำบาก
เพียงแค่คิดก็รู้สึกขนลุกมากแล้ว
โจวเทียนอวิ๋นมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักราระดับ 2
นี่สินะความน่ากลัวที่แท้จริงของผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรา?
โจวเทียนอวิ๋นไม่เพียงแต่จะเป็นยอดฝีมือในอาณาจักรซือเว่ยเท่านั้น แต่เขาสมควรถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในยอดฝีมือแห่งเส้นทางดาราจักรด้วยซ้ำ
แต่ยิ่งโจวเทียนอวิ๋นมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยใจมากเท่านั้น
เพราะเหตุใด ยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้จึงยอมทำงานรับใช้เขา?
หวังจงพูดสิ่งใดต่อโจวเทียนอวิ๋นกันแน่?
นี่คือคำถามที่ไม่มีคำตอบ หลินเป่ยเฉินทนความสงสัยไม่ไหวจึงไปที่ห้องนอนของนักพรตหญิงชินกลางดึกเพื่อขอรับคำแนะนำ
“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”
นักพรตหญิงชินสวมใส่ชุดนอนบางเบา ผิวขาวราวกับแสงจันทร์ ใบหน้าที่งดงามนั้นตอบคำถามด้วยความสงบเยือกเย็น “เรื่องนี้เจ้าคงต้องไปถามหวังจงเอาเองเถอะ”