เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1709 บอกเขาไปว่าข้าเป็นใคร
ตอนที่ 1,709 บอกเขาไปว่าข้าเป็นใคร
สำหรับสถานการณ์ในอาณาจักรซือเว่ย เมื่อองค์จักรพรรดิได้สิ้นพระชนม์ลง ราชวงศ์เทียนหลางเซินก็ล่มสลาย จึงมีผู้คนคิดแย่งชิงดินแดนที่ไร้ผู้ปกครองเป็นเรื่องธรรมดา
ผู้ที่ได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงล่ากวางในครั้งนี้ เกรงว่าคงต้องเป็นบุคคลระดับสูงของอาณาจักรซือเว่ยทั้งสิ้น
และหลินซิงเฉิงในฐานะรองผู้คุมสภา ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีคุณสมบัติจัดตั้ง ‘การล่ากวาง’ ในครั้งนี้
ปัญหาก็คือกองทัพเซียนกระบี่บุกยึดเจ็ดเขตแดนสำคัญของหลินซิงเฉิงซึ่งทุกเขตแดนก็มีเหมืองแร่ทองคำศักดิ์สิทธิ์ซ่อนอยู่ เปรียบเสมือนหลินซิงเฉิงถูกแย่งชิงขุมสมบัติล้ำค่าไปต่อหน้าต่อตา แต่แทนที่จะตอบโต้หัวขโมยด้วยความโกรธแค้น หลินซิงเฉิงกลับจัดส่งเทียบเชิญให้หลินเป่ยเฉินมาเข้าร่วม ‘การล่ากวาง’ ด้วยกัน…
น่าสนใจแฮะ
นี่หลินซิงเฉิงประเมินความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินสูงส่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
หรือว่าในงานเลี้ยงล่ากวางจะมีแผนร้ายซ่อนอยู่?
“หวังจง เจ้าไปเตรียมคนให้พร้อม อีกสิบวันหลังจากนี้ ให้ทหารหน่วยทะลวงฟันติดตามข้าไปงานเลี้ยงด้วย”
หลินเป่ยเฉินเก็บหอกกระดูกขาวด้วยความตื่นเต้นและกล่าวว่า “พวกเราจะไปพบหลินซิงเฉิง เขามีตำแหน่งเป็นรองผู้คุมสภาใช่หรือไม่? ในที่สุด พวกเราก็จะได้พบกับพวกคนใหญ่คนโตสักที”
“นายน้อยจะไปจริง ๆ หรือขอรับ?”
หวังจงถามด้วยความไม่อยากเชื่อ
เพราะนี่ไม่สมกับเป็นนายน้อยของเขาเลย
“ไปสิ ทำไมจะไม่ไปล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินมีท่าทีกระตือรือร้นอย่างแปลกประหลาด ก่อนจะหันไปมองพระอาทิตย์ยามเช้าที่ลอยตัวอยู่ห่างไกลออกไปและกล่าวว่า “ดินแดนแห่งนี้จะต้องอยู่ในการปกครองของข้า ข้าอยากจะเห็นหน้าบรรดาคนใหญ่คนโตเหล่านั้นเหลือเกิน พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าประชาชนต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานในขณะที่ตนเองเสวยสุขในทุก ๆ วัน ข้าอยากจะทำให้พวกเขาได้รับรู้รสชาติของความทรมาน เหมือนที่ประชาชนตาดำ ๆ ต้องรู้สึกบ้างน่ะ”
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงันโดยทันที
ครั้งนี้ หวังจงไม่ได้กล่าวประจบประแจงอีกแล้ว
เขาแค่เฝ้ามองแผ่นหลังของนายน้อย
รอยยิ้มโล่งใจอย่างที่หาได้ยากยิ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพ่อบ้านชรา
การจากลาของนักพรตหญิงชินเกิดขึ้นได้ถูกเวลายิ่งนัก
มีเพียงนางเสมอที่สามารถทำให้นายน้อยเติบโตได้ถึงเพียงนี้
มีเพียงสตรีเท่านั้นที่ทำให้นายน้อยเติบโตมากขึ้น
และอาจจะเป็นสตรีที่มากกว่าหนึ่งนางด้วยซ้ำ
…
สิบวันต่อมา
เขตเทียนหลางซิง
เรือเหาะเซียนกระบี่ลอยลำผ่านแผ่นฟ้าเข้าสู่เขตเทียนหลางซิง ซึ่งเป็นเขตแดนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนหลางซิงแห่งนี้โดยไม่มีอุปสรรคขัดขวาง
ต้องอย่าลืมว่าที่นี่คือเมืองหลวงของอาณาจักรซือเว่ย
เขตเทียนหลางซิงมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลมากกว่าที่หลินเป่ยเฉินเคยจินตนาการเอาไว้
แผ่นดินกับแผ่นน้ำถูกแบ่งแยกอย่างเท่าเทียมกัน
ตลอดเส้นทางการเดินทาง หลินเป่ยเฉินมักจะพบเห็นแผ่นดินกว้างใหญ่และท้องทะเลยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ทัศนียภาพอันงดงามตระการตาปรากฏขึ้น เด็กหนุ่มได้แต่รับชมด้วยความชื่นชมครั้งแล้วครั้งเล่า
ทัศนียภาพอันสวยงามเช่นนี้สมแล้วที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเผ่าพันธุ์มนุษย์
และในฐานะที่ตนเองก็เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลินเป่ยเฉินจะรู้สึกชื่นชมยินดีไม่ใช่หรือ?
เรือเหาะเซียนกระบี่เดินทางมาได้อีกหนึ่งชั่วยาม
บนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ยาวไกลที่ด้านล่าง สามารถมองเห็นร่องรอยการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เป็นระยะ เมืองขนาดเล็กตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ตามหุบเขาลำเนาไพร
ก่อนหน้านี้ พวกมันคงเคยเป็นเมืองที่สวยมากมาก่อน
แต่บัดนี้ เมืองเหล่านั้นได้ล่มสลายลงไปแล้ว
ควันไฟลอยขึ้นมาบนท้องฟ้า
ในอากาศสัมผัสได้เพียงกลิ่นไอการฆ่าฟัน
ไฟสงครามลุกลามไปทุกหนทุกแห่ง
แม้แต่ในเขตเทียนหลางซิงก็เช่นกัน
“หยุดก่อน”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำรามออกมา
เรือเหาะเซียนกระบี่หยุดการเคลื่อนที่โดยทันที
บรรดาเรือเหาะที่ลอยลำนำหน้าและลอยลำตามหลังก็หยุดชะงักด้วยเช่นกัน
หัวหน้าผู้ควบคุมการเดินเรือซึ่งทางเจ้าถิ่นส่งมาดูแลมีนามว่าสวีฮัง เขาเดินเข้ามาหา ‘เซียนกระบี่’ ด้วยสีหน้าไม่พอใจ “มีอะไรหรือ? ท่านเข้าใจกฎการเดินเรือหรือไม่? เหตุไฉนจึงสั่งให้หยุดการเดินทางกระทันหัน?”
หลินเป่ยเฉินชี้มือไปยังเมืองที่ถูกเผาไหม้อยู่ทางด้านล่างและถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“หึ ๆ”
สวีฮังหัวเราะในลำคอและตอบว่า “ก็แค่แม่ทัพใหญ่ของกองทัพต้าเยว่กับกองทัพฮวาจางทะเลาะกันเท่านั้น พวกเขามีเรื่องผิดใจกันเพราะสตรีนางหนึ่ง เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอก สงครามเช่นนี้เกิดขึ้นทุกที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากการสู้รบยังดำเนินไปเช่นนี้อีกครึ่งปี ท่านก็คงไม่ต้องเป็นห่วงสิ่งใดแล้ว เพราะเมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนก็คงตายกันไปหมดสิ้น”
ปรากฏว่านี่เป็นผลจากการที่คนของกองทัพทะเลาะกันเองอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าอาณาจักรซือเว่ยเป็นดินแดนที่รวบรวมเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่มากที่สุด แต่เด็กหนุ่มก็คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะรวบรวมบรรดามนุษย์ตัววายร้ายเอาไว้ด้วยเช่นนี้
สถานการณ์ภายนอกยังคงวุ่นวายโกลาหล ส่วนสถานการณ์ภายใน กองทัพก็ยังยกพวกฆ่าฟันกันเพียงเพราะแม่ทัพใหญ่ของพวกเขาหึงหวงสตรีนางหนึ่งเนี่ยนะ?
หลินเป่ยเฉินหันไปชำเลืองมองสวีฮังและออกคำสั่ง “ลงไปบอกพวกเขาว่านับจากนี้เป็นต้นไป กองทัพของพวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธฆ่าคนอีกแล้ว”
สวีฮังหันขวับกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและหัวเราะเยาะ “ไม่ทราบว่าท่านล้อเล่นใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองด้วยแววตาจริงจังและกล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “ข้าพูดจริงทุกถ้อยคำ”
สวีฮังแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา ก่อนหัวเราะในลำคอ “หึหึ พูดจริงสิ? ท่านจะสนใจไปทำไม? นี่เป็นเรื่องราวในเขตเทียนหลางซิงของพวกเรา ท่านคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน?”
ผู้คนแห่งเมืองหลวงมักจะมีความรู้สึกว่าตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่นเสมอ
ในสายตาของพวกเขา คนที่มาจากเขตแดนอื่นหรือเมืองอื่น แม้จะอยู่ในอาณาจักรซือเว่ยเช่นกัน แต่ก็เปรียบเสมือนคนบ้านนอกป่าเถื่อนไร้การศึกษา
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นและกระซิบว่า “บอกเขาไปว่าข้าเป็นใคร”
วูบ!
เจ้าหุ่นแดง 1 ลงมือแล้ว
ฝ่ามือขนาดใหญ่ยักษ์ของมันตะปบลงมาหาสวีฮัง
“เจ้ากล้าดีอย่างไร?”
สวีฮังยกมือขึ้นตั้งรับด้วยความไม่อยากเชื่อ รีบโคจรพลังในร่างกายเต็มอัตรา
กร๊อบ!
ได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก
แขนของเขาหักงอไม่ต่างไปจากกิ่งไม้เก่าแก่ผุพัง
เจ็บปวดแสนสาหัส
สวีฮังส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาในทันที
เมื่อมองไปที่แววตาของหลินเป่ยเฉิน เขาก็รู้ว่านี่คงไม่ใช่เรื่องดี ตนเองไม่สมควรประพฤติตนกระด้างกระเดื่องเช่นนั้นเลย สวีฮังจึงรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าท่าทีของตนเองโดยเร็วและขอร้องวิงวอนว่า “ผู้ต่ำต้อยผิดไปแล้ว นายท่านอย่าทำอะไรผู้ต่ำต้อยเลย…”
“ทีนี้เจ้าก็รู้แล้วสินะว่าข้าเป็นใคร?”
หลินเป่ยเฉินมองไปที่สวีฮังด้วยแววตาสมเพชเวทนา
“รู้แล้วขอรับ… ผู้ต่ำต้อยรู้แล้ว ผู้ต่ำต้อยรู้แล้ว”
สวีฮังรีบกล่าวออกมาเสียงดัง
“ในเมื่อรู้ก็ดีแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ “เกิดใหม่เจ้าจะได้จำเอาไว้ให้ดี”
ขาดคำ
ฝ่ามือของเจ้าหุ่นแดงหนึ่งก็เพิ่มแรงกดมากขึ้น
เป็นแรงกดมหาศาลที่ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้!!