เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1710 คฤหาสน์ฝั่งตรงข้าม
ตอนที่ 1,710 คฤหาสน์ฝั่งตรงข้าม
พลั่ก!
สวีฮังที่พยายามดิ้นรนขัดขืนกลับกลายเป็นกองเนื้อกองหนึ่งไปเสียแล้ว
ตกตายโดยไม่รู้ตัว
องครักษ์ข้างกายสวีฮังทั้งสองคนเมื่อเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น ใบหน้าของพวกเขาก็สั่นระริกด้วยความหวาดกลัว
ตอนแรกพวกเขานึกว่าตนเองจะถูกฆ่า
แต่เหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เพราะหลินเป่ยเฉินไม่ได้เหลือบมองมาที่พวกเขาเลย
“นำศพของสวีฮังไปแสดงต่อสองกองทัพที่อยู่ด้านล่าง บอกพวกเขาว่าข้าคือหลินเป่ยเฉิน ข้าอยากให้พวกเขาสงบศึกกันโดยเร็วที่สุด”
หลินเป่ยเฉินโยนกระดูกสามชิ้นไปให้แก่เจ้าหุ่นแดง 1 แดง 2 และแดง 3 ก่อนออกคำสั่งต่อไป “หากผู้ใดไม่เชื่อฟัง พวกเจ้าสามารถกำจัดทิ้งได้ทันที”
เจ้าหุ่นสีแดงทั้งสามตัวไม่ต่างจากลูกสุนัขที่กระโดดรับกระดูกด้วยความตื่นเต้น หลังจากนั้น พวกมันก็พุ่งตัวเป็นลำแสงวับหายลงไปสู่พื้นดินด้านล่าง
ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย
สงครามที่ด้านล่างก็ยุติลง
เจ้าหุ่นอสูรแดงทั้งสามตัวกระโดดกลับมา
พวกมันสื่อสารผ่านทางกระแสจิตว่าปฏิบัติตามคำสั่งของหลินเป่ยเฉินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อจัดการสังหารผู้ที่ไม่เชื่อฟังไปจำนวนหนึ่ง นายทหารส่วนที่เหลือของทั้งสองกองทัพที่อยู่ด้านล่างก็เปลี่ยนท่าทีไปทันที จากที่เคยแข็งกร้าวกระด้างกระเดื่อง ทุกคนก็หันมาปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีข้อแม้…
หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะและถอนหายใจ
เจ้าพวกคนขี้ขลาดเอ๊ย
…
ครึ่งวันต่อมา
ในที่สุด เรือเหาะเซียนกระบี่ก็ร่อนลงจอดในเขตเทียนหลางซิงได้อย่างปลอดภัย
เมืองใหญ่ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า
สวยงามเกินจินตนาการ
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีความสุขได้ในพื้นที่เขตนี้
ทุก ๆ ความสวยงามย่อมมีความมืดมิด
ภายในเมืองที่สวยงามแห่งนี้ยังคงซ่อนเร้นความอัปลักษณ์ของผู้คนเอาไว้ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
“ท่านแม่ทัพหลิน นี่คือที่พักของพวกท่านกองทัพเซียนกระบี่”
เจ้าหน้าที่ผู้ถูกส่งตัวมารับรองพวกของหลินเป่ยเฉินมีนามว่าหูจงเซียน เขานำทุกคนมายังสถานที่ซึ่งเหมือนลานทิ้งขยะแห่งหนึ่งและกล่าวว่า “อีกสิบวัน งานเลี้ยงล่ากวางจึงจะเริ่มขึ้น จนกว่าจะถึงตอนนั้น คงต้องรบกวนให้ท่านแม่ทัพหลินและพรรคพวกพักอยู่ที่นี่ก่อนนะขอรับ”
ที่นี่คือลานเก็บขยะชั้นต่ำที่เต็มไปด้วยฝุ่นผงและกลิ่นเหม็นเน่า
ที่พักของพวกเขาเป็นกระท่อมไม้สามหลังที่เอียงโย้ไปด้านข้าง ประตูหน้าต่างชำรุด กําแพงแตกร้าว บ่อน้ำเน่าเสีย…
ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ซึ่งน่ารังเกียจมากที่สุดในเขตเทียนหลางซิงแล้ว
“ว่าไงนะ? เจ้าจะให้นายน้อยผู้ประเสริฐของข้าอาศัยอยู่ในสถานที่เหม็นเน่าแห่งนี้น่ะหรือ? ไม่ทราบว่าเจ้าอยากตายนักหรือไง?” หวังจงคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงดุร้าย “เจ้าคิดจะให้นายน้อยของข้าอาศัยอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ?”
หูจงเซียนตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “นี่เป็นที่พักที่ทางเบื้องบนจัดการมาให้ขอรับ หากนายท่านมีปัญหา กรุณาร้องเรียนกับทางสภาเองเถอะ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
ระหว่างเดินทางมาที่นี่ เขาเห็นคฤหาสน์หลังงามจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง
คฤหาสน์หลายหลังกินพื้นที่เป็นอาณาบริเวณกว้างขวาง
โดยเฉพาะคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับลานทิ้งขยะแห่งนี้ คฤหาสน์หลังนั้นงดงามหรูหรา ซึ่งเหมาะสมสำหรับใช้เป็นที่รับรองอาคันตุกะจากแดนไกลยิ่งนัก
คฤหาสน์หลังนั้นมีความสูงหกถึงเจ็ดชั้น และได้รับการป้องกันด้วยค่ายอาคมแน่นหนา รอบข้างก่อสร้างกำแพงหินสูงลิ่ว ด้านในยังมีบ่อน้ำใสสะอาด ถึงกับมีน้ำตกจำลองให้นั่งเล่นสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ…
เมื่อเทียบกับลานทิ้งขยะแห่งนี้ คฤหาสน์หลังนั้นก็คือสรวงสวรรค์ที่แท้จริง
“นั่นคือที่พักของผู้ใด?”
หลินเป่ยเฉินยกมือชี้ไปที่คฤหาสน์ฝั่งตรงข้าม
“อ้อ เป็นของแขกผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงล่ากวางเช่นกันขอรับ…” หูจงเซียนตอบ “แต่คฤหาสน์หลังนั้นมีผู้เข้าพักแล้ว ไม่เหลือห้องว่างสำหรับแม่ทัพหลินอีกแล้วขอรับ”
ขาดคำนั้น
ประตูคฤหาสน์ฝั่งตรงข้ามก็เปิดออก
คนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา
ผู้ที่เดินนำหน้าสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำ ผิวขาวซีด ใบหน้ายาวเหมือนม้า ดวงตาเรียวยาว ไว้เคราสามแฉกที่ใต้คาง ศีรษะกลมโต รูปร่างผอมสูง มองเพียงผิวเผินจึงไม่ต่างจากโครงกระดูกเดินได้ เพียงแต่เป็นโครงกระดูกที่มีผิวหนังห่อหุ้มอยู่เท่านั้น คนผู้นี้จึงดูน่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง
“ช้าก่อน”
หวังจงเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ “นายน้อยขอรับ ดูนั่นสิ เจ้าโครงกระดูกเดินได้นั่นเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพชื่อดังแห่งกองทัพอีกาดำ และบัดนี้ เขาก็มีสถานะเป็นท่านทูตประจำกองทัพอีกาดำ คนผู้นี้มีนามว่าจางหรู่”
ที่แท้ก็เป็นพวกใช้เส้นสายนี่หว่า!
กองทัพอีกาดำคือกลุ่มกองกำลังที่มีฐานอำนาจมั่นคงที่สุดในอาณาจักรซือเว่ยและเป็นศัตรูตัวฉกาจของกองทัพเซียนกระบี่มาโดยตลอด
“เขามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?”
หวังจงดึงตัวหูจงเซียนเข้ามาสอบถาม
หูจงเซียนสะบัดมือหนีและตอบว่า “แม่ทัพจางก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงล่ากวาง เหตุไฉนเขาจะมาไม่ได้?”
“ให้ตายเถอะ”
หวังจงหัวเราะในลำคอด้วยความเหยียดหยาม “โครงสร้างอำนาจของที่นี่ชักจะเหลวไหลเกินไปแล้ว แม้แต่สุนัขข้างถนนก็ยังกล้าแต่งตั้งตนเองขึ้นมาเป็นแม่ทัพใหญ่…”
พูดมาถึงตรงนี้ พ่อบ้านชราก็สัมผัสได้ถึงแววตาดุดันที่จ้องมองมายังตนเอง เขาจึงรีบหันไปอธิบายว่า “นายน้อย บ่าวไม่ได้หมายถึงท่าน...”
พลั่ก!
“เจ้าตัวบัดซบ…”
หลินเป่ยเฉินกระโดดเตะก้นหวังจง
“อ้า ความรู้สึกที่คุ้นเคยกลับมาแล้ว”
หวังจงส่งเสียงครางอย่างมีความสุข
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงของจางหรู่ลอยข้ามลำธารที่ขวางกั้นเข้ามาว่า
“ฮ่า ๆๆ นั่นคือแม่ทัพใหญ่หลินเป่ยเฉินแห่งกองทัพเซียนกระบี่ใช่หรือไม่? ไม่ทราบว่ามดปลวกต่ำต้อยอย่างเจ้าก็ได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงล่ากวางเช่นกันหรือ?”
จางหรู่นำลูกสมุนเดินมาหยุดยืนที่ริมลำธารฝั่งตรงข้าม
หลินเป่ยเฉินจ้องมองกลับไปโดยไม่พูดคำใด
จางหรู่ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเหยียดหยาม
“หลายวันที่ผ่านมา ข้าได้ยินเรื่องราววีรกรรมของเจ้ามาไม่ใช่น้อย ในที่สุด สิ่งที่ข้าสงสัยก็ได้รับคำตอบแล้ว… ฮ่า ๆๆ หลินเป่ยเฉิน เจ้าเรียกตนเองว่าเซียนกระบี่ แต่ในสายตาของข้า เจ้าก็เป็นเพียงหมูโง่ตัวหนึ่งเท่านั้น เห็นแล้วก็ช่างน่าขบขันเหลือเกิน ก๊าก ๆๆ…”
ปัง!
เสียงปืนกัมปนาท
ศีรษะของจางหรู่ระเบิดหายไป
หลินเป่ยเฉินยกปืนอินทรีหิมะในมือขึ้นเล็ง
ปัง! ปัง! ปัง!
เขาระเบิดกระสุนอย่างต่อเนื่อง
แล้วบรรดาลูกสมุนของจางหรู่ก็มีอันต้องศีรษะระเบิดกระจายตามผู้เป็นเจ้านายไปติด ๆ
หลินเป่ยเฉินยกปืนขึ้นเป่าควันที่ปลายกระบอก
เขาจ้องมองหูจงเซียน ยิ้มเล็กน้อยและถามว่า “ดูเหมือนคฤหาสน์ฝั่งตรงข้ามจะไม่มีแขกเข้าพักแล้วกระมัง ไม่ทราบว่าข้าขอย้ายเข้าไปพักได้หรือไม่?”