เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1713 ปี๋อวิ่นเถา
ตอนที่ 1,713 ปี๋อวิ่นเถา
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินซิงเฉิงสลายหายไป
เขาเปิดใช้งานม่านพลังที่ปิดกั้นเสียงในห้องประชุมไม่ให้เล็ดลอดออกไปที่ด้านนอก จากนั้นตนเองจึงลุกขึ้นยืนและหมุนแจกันที่เป็นกลไกบางอย่างทำให้ประตูลับด้านหลังเปิดออก
หลินซิงเฉิงเดินเข้าไปในประตูบานนั้นอย่างแช่มช้า
ด้านในเป็นห้องศิลาที่มืดสลัว มีแสงไฟเพียงริบหรี่
ตะเกียงทองแดงขึ้นสนิมแขวนอยู่กลางห้อง ตะเกียงดวงนี้แกะสลักเป็นรูปมังกรเลื้อยพันกันเก้าตัว มองดูแล้วเหมือนพวกมันกำลังกัดกินกันเอง
นับเป็นตะเกียงโบราณที่แปลกประหลาดพิสดารยิ่งนัก
แสงสว่างเดียวภายในห้องมาจากตะเกียงดวงนี้ แต่เปลวไฟก็ไหววูบคล้ายกับพร้อมที่จะดับลงได้ตลอดเวลา
แสงตะเกียงริบหรี่สาดจับใบหน้าของหลินซิงเฉิง
ภายในห้องลับมีเงามืด
ร่างของหลินซิงเฉิงสว่างด้วยแสงตะเกียงท่ามกลางความมืดมิดรอบกาย
ดวงตาของเขาสะท้อนประกายสีเขียวในความมืดมิด ยิ่งทำให้หลินซิงเฉิงดูมีสง่าราศีมากกว่าเดิม ไม่ต่างจากจ้าวปีศาจที่กำลังฟื้นคืนกลับมาจากโลกแห่งความตาย
“อีกหนึ่งผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว เขาคงต้องเป็นผู้สังหารราชาในคำทำนายเป็นแน่แท้”
“หลายปีที่ผ่านมา ยังคงมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่อีกมากมายนัก เมื่อบุคคลเช่นหลินเป่ยเฉินปรากฏตัวขึ้นมา ยอดฝีมือเหล่านั้นอย่างโจวเทียนอวิ๋นก็ทนรอไม่ไหวที่จะได้แสดงตัวออกมาแล้ว”
“ในที่สุด การรอคอยของข้าก็จะสิ้นสุดลงเสียที”
“ฮ่า ๆๆ…”
หลินซิงเฉิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชั่วร้าย
เสียงหัวเราะของเขาฟังดูน่าขนลุกไม่ต่างจากเสียงร้องของนกเค้าแมวยามราตรี
เสียงหัวเราะของหลินซิงเฉิงทำให้เปลวไฟในตะเกียงสั่นไหววูบวาบ
ณ อีกฝั่งหนึ่งของกำแพงห้อง ยังคงมีสิ่งที่น่าสนใจบางประการ...
มันเป็นที่ตั้งของวัตถุโบราณชนิดหนึ่ง
…
คฤหาสน์ลู่หลิว
นี่คือคฤหาสน์ที่หลินเป่ยเฉินแย่งชิงมาจากท่านทูตประจำกองทัพอีกาดำจางหรู่
เพียงประตูทางเข้าก็มีการแกะสลักลวดลายอันวิจิตรงดงาม บ่งบอกได้ดีถึงการก่อสร้างที่เน้นรายละเอียดอย่างประณีตบรรจง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกชื่นชอบกับบ้านพักหลังใหม่ของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
“นายน้อยขอรับ คนที่ชื่อปี๋อวิ่นเถากลับมาอีกแล้วขอรับ” หวังจงขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “ให้บ่าวฆ่าทิ้งเลยดีไหมขอรับ เขาจะได้ไม่กลับมารบกวนใจนายน้อยอีก”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นและถามว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าก็ให้ปากคำเกี่ยวกับคดีของจางหรู่ไปแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วเขายังจะกลับมาสืบสวนเรื่องอันใดอีก?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย
ปี๋อวิ่นเถาเป็นบุรุษหนุ่มอายุสิบเก้าปี
เขาเป็นผู้ฝึกวิชาตามสายเลือดผู้อัญเชิญ มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8
ด้วยพื้นเพที่มาจากครอบครัวยากจน การบรรลุขั้นพลังสูงส่งถึงระดับนี้ก่อนอายุยี่สิบปี จึงควรค่าที่จะเรียกปี๋อวิ่นเถาว่าเป็นอัจฉริยะโดยแท้จริง
ภายใต้การปกครองขององค์จักรพรรดิองค์เก่า ปี๋อวิ่นเถาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้คุมกฎระดับ 2 ซึ่งมีหน้าที่คอยสอบปากคำและสืบสวนคดีอาชญากรรมในเมืองเทียนหลางซิงโดยเฉพาะ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ปี๋อวิ่นเถาทำผลงานให้ผู้คนได้ประจักษ์ในความสามารถเอาไว้มากมาย
เขากลายเป็นตำนานแห่งหน่วยสืบสวน
แต่โชคร้ายที่เมื่อองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ คืนวันอันดีงามของปี๋อวิ่นเถาก็พลอยยุติลงไปด้วย
บุรุษหนุ่มเป็นคนแข็งกระด้างตรงไปตรงมา ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับผู้บังคับบัญชาสักเท่าไหร่ มิหนำซ้ำ ยังขาดแคลนความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน ด้วยเหตุนี้ จากดาวเด่นประจำหน่วยสืบสวน ปี๋อวิ่นเถาก็กลับกลายเป็นหมาป่าเดียวดายไปเสียแล้ว…
ครั้งนี้ เขามีหน้าที่รับผิดชอบคดีการฆาตกรรมสวีฮังและจางหรู่
แม้ว่าท่านผู้คุมสภาจะกำชับให้สืบสวนเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ แต่ปี๋อวิ่นเถาก็พยายามสืบสวนและรวบรวมหลักฐานทุกชิ้นอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ได้สำนวนคดีที่แน่นหนาและมีหลักฐานหนาแน่นมากที่สุด
แม้ว่าปี๋อวิ่นเถาจะรู้ดี การที่หน่วยสืบสวนส่งเขามาสอบปากคำหลินเป่ยเฉินในเรื่องคดีการฆาตกรรมจางหรู่ สวีฮัง และคนอื่น ๆ ในครั้งนี้ จะไม่ต่างจากส่งเขามาตายก็ตาม
ทว่าปี๋อวิ่นเถาก็ยอมรับภารกิจนี้แต่โดยดีและเขาก็ถือว่านี่เป็นคดีที่ตนเองต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุด
ดังนั้น ปี๋อวิ่นเถาจึงพยายามแวะเวียนกลับมาสอบปากคำหลินเป่ยเฉินที่คฤหาสน์ลู่หลิวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น หลินเป่ยเฉินคงชักปืนออกมาระเบิดสมองทิ้งไปนานแล้ว
แต่ปี๋อวิ่นเถาคือข้อยกเว้น
หลินเป่ยเฉินชื่นชอบคนที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมาเสมอ
ตามข้อมูลที่หวังจงรวบรวมมาได้ ปี๋อวิ่นเถาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ผู้เห็นแก่เงินทองและลาภยศสรรเสริญ เขาไม่เคยลุ่มหลงในสุรานารี ไม่เคยประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทาง ได้ยินว่าเพียงอายุสามขวบ ปี๋อวิ่นเถาก็ช่วยคนแก่ข้ามถนนได้แล้ว และในฐานะเจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบสวนพิเศษ ปี๋อวิ่นเถาก็ไม่เคยรับสินบนจากบรรดานักโทษเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในทางกลับกัน ปี๋อวิ่นเถามักจะสืบสวนคดีอย่างใสสะอาด และช่วยเหลือผู้คนบริสุทธิ์ให้รอดพ้นมลทินมานักต่อนัก
และที่สำคัญที่สุดก็คือ ปี๋อวิ่นเถาอุทิศเงินเดือนของตนเองส่งเสียเด็กหนุ่มเด็กสาวผู้ยากไร้ให้ได้มีโอกาสเข้าเรียนในสำนักศึกษาถึงสิบหกคน…
เห็นได้ชัดว่าปี๋อวิ่นเถาเป็นคนดี
แล้วหลินเป่ยเฉินจะฆ่าคนดีเช่นนี้ได้อย่างไร?
ย่อมไม่ได้เด็ดขาด
“ให้เขาเข้ามาเถอะ”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเองด้วยความเหนื่อยล้า
นอกจากต้องคอยพะวงเรื่องความสงบสุขของดินแดนต่าง ๆ แล้ว เขายังต้องมาคอยนั่งตอบคำถามจากบรรดาเจ้าหน้าที่พวกนี้อีกด้วย…
เกิดเป็นคนแท้จริงแสนลำบาก
แต่มันลำบากมากกว่านั้นเมื่อพยายามประพฤติตนเป็นคนดี
หลังจากนั้นไม่นาน
หวังจงก็นำตัวบุรุษหนุ่มร่างกำยำเดินเข้ามา
เขาเป็นชายหนุ่มอายุสิบเก้าปี คิ้วหนาตาโต ใบหน้าปราศจากอารมณ์ ร่างกายสูงใหญ่บึกบึน สวมใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬ ข้างเอวเหน็บกระบี่สีดำ พลังปราณไม่ต่ำต้อย ดวงตาเป็นประกายคมกริบ ลักษณะบอกชัดว่าเป็นผู้ที่มั่นใจในตนเองพอสมควร
นี่คือเจ้าหน้าที่ปี๋อวิ่นเถาจากหน่วยสืบสวนพิเศษแห่งกรมบังคับใช้กฎหมายประจำเมืองเทียนหลางซิง
“นายน้อย บ่าวนำตัวเขาเข้ามาแล้วขอรับ”
หวังจงประสานมือทำความเคารพ
หลินเป่ยเฉินโบกมือไล่
หวังจงก้มศีรษะถอยหลังเดินออกไป
ในห้องโถงใหญ่ขณะนี้จึงเหลือหลินเป่ยเฉินกับปี๋อวิ่นเถาอยู่กันเพียงลำพังเท่านั้น
“พูดมา ท่านมาหาข้าครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยเหตุอันใด?”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเอง
ปี๋อวิ่นเถาประสานมือคำนับและกล่าวด้วยน้ำเสียงฉะฉานว่า “เรื่องแรกที่ข้าน้อยอยากจะขอสอบถามท่านแม่ทัพหลิน เป็นข้อมูลเกี่ยวข้องกับความตายของท่านขุนนางใหญ่หวังป้าตัน…”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงแทรกขึ้นด้วยความรำคาญใจว่า “ข้อมูลทั้งหมดข้าให้บ่าวรับใช้ส่งให้ท่านแล้วไม่ใช่หรือ? ยังจะต้องมาสอบถามอันใดอีก? ช่างน่ารำคาญเสียจริง”
“ข้าน้อยอยากจะมาสอบถามถึงที่อยู่บุตรชายบุญธรรมของหวังป้าตันอย่างสวีเสี่ยวฉีขอรับ…”
ปี๋อวิ่นเถาถามออกมาอีกครั้ง
“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินตอบคําถาม แต่แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เดี๋ยวก่อนนะ สวีเสี่ยวฉีเป็นบุตรบุญธรรมของหวังป้าตันอย่างนั้นหรือ?”
นี่คือข้อมูลที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยรับทราบมาก่อน