เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1719 หวังจงคนที่สอง
ตอนที่ 1,719 หวังจงคนที่สอง
ศีรษะของเฟิงจงหลิงระเบิดกระจายเป็นม่านหมอกเลือด ร่างไร้ชีวิตล้มลงหงายหลังไปในที่สุด
“ฆ่าได้ดี”
หูจงเซียนระเบิดเสียงหัวเราะ
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปจ้องมอง
หูจงเซียนสบสายตามองเขาอย่างไม่หวาดกลัว ขณะนั่งอยู่ในกองเลือดและกล่าวว่า “สมแล้วที่เป็นเซียนกระบี่นักล่าหัวในตำนาน หลินเป่ยเฉิน การโจมตีของเจ้าช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ… น่าเสียดายนักที่อัจฉริยะยอดฝีมือเช่นนี้กลับต้องมาเป็นศัตรูกับท่านรองผู้คุมสภา รู้หรือไม่ว่าบัดนี้เจ้ากำลังจะเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอาณาจักรซือเว่ย?”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินดึงนิ้วออกจากโกร่งไกปืนและหัวเราะเยาะตอบกลับไปว่า “เป็นศัตรูกับหลินซิงเฉิงหนึ่งคน เท่ากับข้าต้องเป็นศัตรูต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอาณาจักรซือเว่ยเชียวหรือ?”
หูจงเซียนพยักหน้าตอบกลับด้วยความภาคภูมิใจ “ถูกต้อง”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด “นั่นสินะ เจ้าพูดถูกแล้ว”
ปัง!
แล้วศีรษะของหูจงเซียนก็ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือดไปอีกคน
บรรดาผู้คนที่ยังอยู่ในห้องทรมานหมายเลข 28 คงไม่มีทางลืมประสบการณ์ครั้งนี้ไปชั่วชีวิต
นี่คือเหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้
เมื่ออยู่ต่อหน้าเซียนกระบี่นักล่าหัวหลินเป่ยเฉิน ต่อให้เป็นขุนนางชั้นสูง หรือเจ้าหน้าที่ผู้มีตำแหน่งใหญ่โตเพียงใด พวกเขาต่างก็ถูกฆ่าตายได้ไม่ต่างจากมดแมลงตัวหนึ่ง
ศพของท่านที่ปรึกษาประจำตัวหลินซิงเฉิงยังคงนอนชักกระตุกอยู่ในห้องศิลาอันมืดสลัว…
นี่คือภาพที่น่าสยดสยองเกินไป
จิตสังหารแรงกล้าขยายอาณาเขตออกไปจากห้องทรมานขนาดเล็ก
ไม่มีผู้ใดอยากจะอยู่ในห้องทรมานแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว
แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวเช่นกัน
เด็กหนุ่มชุดขาวนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ ตัวเขาเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ให้แสงสว่างในห้องอันมืดสลัว เสื้อคลุมสีขาวราวกับหิมะสะอาดสะอ้าน ไม่มีคราบเลือดกระเด็นไปติดอยู่บนเสื้อคลุมของเขาแม้แต่หยดเดียว
“ผู้ใดคือรองหัวหน้าผู้คุมเจิ้งเจียง?”
หลินเป่ยเฉินกวาดตามองกลุ่มผู้คุมที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
คนผู้หนึ่งสะดุ้งโหยง
“ข้าน้อยขอรับ เป็นข้าน้อยเอง ข้าน้อยคือเจิ้งเจียงมีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าผู้คุมประจำคุกใต้ดินแห่งหน่วยสืบสวนพิเศษ ข้าน้อยไม่เคยรับทราบถึงพฤติกรรมชั่วช้าของเฟิงจงหลิงมาก่อนเลยขอรับ…”
เจิ้งเจียงแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายใจเย็น ๆ “เจ้าช่วยพาตัวฉินโมเหยียนมาหาข้าหน่อยสิ”
เจิ้งเจียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทรมาน
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของหลินเป่ยเฉินดังไล่หลังมาว่า “เจ้าจะลองร้องขอความช่วยเหลือก็ได้ แต่เดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นว่าผลลัพธ์ที่ตามมานั้นเลวร้ายเพียงใด”
“มิกล้าขอรับ มิกล้า… ข้าน้อยมิกล้าเด็ดขาด”
เจิ้งเจียงสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง ก่อนจะรีบหันกลับไปคุกเข่าคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความนอบน้อม
เมื่อออกจากห้องทรมานไปแล้ว เจิ้งเจียงก็ไม่กล้ามีความคิดอื่นใดอีก เขาพยักหน้าทักทายผู้คุมสองสามคน ขณะเดินตรงไปยังห้องคุมขังของฉินโมเหยียนและนักโทษคนอื่น ๆ
“ใต้เท้า เกิดอะไรขึ้นในห้องทรมานหรือขอรับ?”
“ทำไมท่านหัวหน้าผู้คุมถึงยังไม่กลับออกมาอีก?”
ผู้คุมกลุ่มหนึ่งสังเกตเห็นถึงบรรยากาศผิดปกติของห้องทรมานหมายเลข 28 จึงอดเดินตามมาถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“อยากรู้หรือ? พวกเจ้าก็ไปดูเองเถอะ”
เจิ้งเจียงตอบกลับไปห้วนสั้น
ผู้คุมระดับสูงสองคนทนความสงสัยไม่ไหวจึงวิ่งย้อนกลับไปที่ห้องทรมานหมายเลข 28 จริง ๆ
แล้วพวกเขาก็พบเจอกับศพไร้ศีรษะที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นหิน
หลังจากนั้น เมื่อเจิ้งเจียงกลับมาที่ห้องทรมานหมายเลข 28 อีกครั้ง เขาก็พบเจอว่าผู้คุมที่ทนความสงสัยไม่ไหวทั้งสองคนนั้น บัดนี้กลับยืนรวมกลุ่มอยู่กับผู้คุมคนอื่น ๆ ในห้องทรมานอย่างเชื่อฟัง แต่ก็ยังไม่วายหันมามองหน้าเจิ้งเจียงด้วยความอาฆาตแค้น
เจิ้งเจียงหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
อยากรู้นักไม่ใช่หรือว่าเกิดอะไรขึ้น? …บัดนี้ พวกเจ้าก็ได้รู้สมใจแล้ว!!
เจิ้งเจียงเดินเข้าไปคุกเข่ารายงานต่อหลินเป่ยเฉินด้วยความเคารพว่า “กราบเรียนนายท่าน ข้าน้อยพาตัวนักโทษฉินโมเหยียนมาแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินวางม้วนกระดาษในมือลงและพยักหน้าด้วยความพอใจ “ข้ายังมีเรื่องอยากรบกวนให้เจ้าช่วยเหลืออีกสักหน่อย”
เจิ้งเจียงยอมรับชะตากรรมของตนเองมานานแล้ว บัดนี้ เขากลายเป็นบริวารของเซียนกระบี่หลินเต็มตัว จึงยิ้มแย้มตอบรับด้วยความกระตือรือร้น “นายท่านได้โปรดออกคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่ ข้าน้อยก็พร้อมที่จะทำงานเพื่อนายท่านเสมอ”
หลินเป่ยเฉินสามารถมองเห็นเงาของหวังจงอยู่ในตัวรองหัวหน้าผู้คุมผู้นี้ได้อย่างชัดเจนยิ่ง
“ไปพาตัวนักโทษที่อยู่ในเอกสารเหล่านี้มาที่นี่ซะ ข้าจะพิจารณาคดีพวกเขาทีละคน”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
“ได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
เจิ้งเจียงไม่ถามหาเหตุผล และรีบลุกขึ้นแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทรมานทันที
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองที่ฉินโมเหยียนซึ่งเดินลากโซ่ตรวนเข้ามาอย่างเชื่องช้า
บัดนี้ ประมุขตระกูลฉินซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลใหญ่ประจำอาณาจักรหลิวเยวียนอยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าขาดเปื้อนคราบเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรัง เสียมือและเท้าไปอย่างละหนึ่งข้าง เนื้อตัวสกปรก ดวงตาเหม่อลอย…
เมื่อสัมผัสได้ถึงการจ้องมองจากหลินเป่ยเฉิน ฉินโมเหยียนก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา
เมื่อเขาพบเห็นอุปกรณ์การทรมานที่แขวนอยู่บนผนัง ซึ่งอยู่ด้านหลังโต๊ะไม้ของหลินเป่ยเฉิน ความทรงจำอันเลวร้ายก็หวนคืนกลับมา ชายวัยกลางคนตัวสั่นเทา ร่ำร้องด้วยความหวาดกลัวว่า “หลินเป่ยเฉินร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจหักหลังเผ่าพันธุ์มนุษย์… หลินเป่ยเฉิน… เป็นคนเลว ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ… เขาเป็นคนเลว…”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
ดวงตาปรากฏความเศร้าหมองขึ้นมาเล็กน้อย
ให้ตายสิ
ฉินโมเหยียนถึงกับเสียสติไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าฉินโมเหยียนต้องพบเจอกับการทรมานที่โหดร้ายทารุณเพียงใด อดีตขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่กุมอำนาจล้นฟ้าในอาณาจักรหลิวเยวียน จึงได้มีสภาพกลายเป็นคนเสียสติเช่นนี้
และบัดนี้ ฉินโมเหยียนก็จดจำหลินเป่ยเฉินไม่ได้อีกแล้ว… หรือหากจะกล่าวให้ถูกต้อง ฉินโมเหยียนไม่สามารถจดจำผู้ใดได้อีกแล้วทั้งสิ้น
หลังถูกทรมานจนเสียสติ เขาก็จำได้เพียงประโยคเดียวว่า ‘หลินเป่ยเฉินร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ หลินเป่ยเฉินเป็นคนเลว…’
มีแต่พูดประโยคนี้ออกมาเท่านั้น การทรมานจึงจะยุติลง
และด้วยเหตุนี้เอง ประโยคนั้นจึงฝังลึกอยู่ในจิตใจของฉินโมเหยียนและเมื่อเขาได้พบเห็นอุปกรณ์การทรมานนักโทษอีกครั้ง ชายวัยกลางคนก็พูดประโยคเดิมออกมาโดยไม่รู้ตัว…
หลินเป่ยเฉินเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าก่อนที่จะเสียสติ ฉินโมเหยียนคงพยายามปฏิเสธและแก้ต่างให้เขาทุกหนทางแล้ว
เพราะหากฉินโมเหยียนยอมร่วมมือแต่โดยดี เขาก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้หรอก
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
เดินเข้าไปหาฉินโมเหยียน
“ฮื่อ หลินเป่ยเฉินร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขาเป็นคนเลว…เขาเป็นคนเลว…”
ฉินโมเหยียนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ความทรงจำหลอกหลอนว่าตนเองกำลังจะถูกทรมาน และนั่นก็ทำให้เขาอยากจะถอยหนี