เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1746 ฟื้นคืนชีพ
ตอนที่ 1,746 ฟื้นคืนชีพ
การอัปเดตแอปพลิเคชันทุกครั้งจะทำให้การใช้งานไหลลื่นมากขึ้น หลินเป่ยเฉินเชื่อมั่นว่าหลังการอัปเดตครั้งนี้ แอปพลิเคชันต่าง ๆ ก็จะถูกปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของเส้นทางดาราจักรมากยิ่งขึ้น
สิ่งนี้มีประโยชน์ยิ่งกว่าการได้แอปพลิเคชันใหม่เสียอีก
หลินเป่ยเฉินกดเลือกอัปเดตแอปพลิเคชันทั้งหมดโดยไม่ลังเล
ครึ่งวันต่อมา
แอปไป่ตู้ แมป แอปสวิ่นเล่ย แอปเถาเป่า และแอปพลิเคชันอื่น ๆ ต่างก็ได้รับการอัปเดตหมดสิ้น
หลินเป่ยเฉินรีบรวบรวมสมาธิและเปิดประตูมิติกลับสู่แผ่นดินตงเต้าเพื่อช่วยเหลือผู้คนโดยไม่รอช้า
เมื่อมีโอสถคืนวิญญาณอยู่ในมือ เขาก็ไม่ต้องรอสิ่งใดอีกแล้ว
ภายในห้องพักเกิดประกายระยิบระยับ
แล้วร่างของหลินเป่ยเฉินก็หายวับไป
เพียงพริบตาต่อมา เด็กหนุ่มก็มาปรากฏตัวขึ้นในแผ่นดินตงเต้า
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินสามารถฟื้นฟูเมืองหยุนเมิ่งให้กลับมาเป็นปกติได้ในระยะห้าร้อยลี้เรียบร้อยแล้ว
“แต่เราจะชุบชีวิตผู้คนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เรายังไม่แน่ใจว่าโอสถคืนวิญญาณจะได้ผลจริงหรือไม่ ดังนั้น คงต้องหาหนูทดลองสักหน่อยแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินปรากฏตัวขึ้นในจวนตระกูลหลิน
ณ สวนดอกไม้ด้านหน้า มีรูปปั้นหินจำนวนหนึ่งที่เขาเคลื่อนย้ายมาตั้งเอาไว้ที่นั่น… และรูปปั้นหินเหล่านั้นก็เป็นบรรดาเทพเจ้าหน้าใหม่ที่ถูกนำตัวมาจากดินแดนทวยเทพ
ลักษณะรูปปั้นหินของพวกเขาไม่ได้แตกต่างไปจากรูปปั้นหินของเฉียนเหมย เฉียนเจินและคนอื่น ๆ กล่าวคือพวกมันมีสภาพที่เกิดรอยแตกร้าวไปทั้งตัว พร้อมที่จะแตกสลายลงไปได้ทุกเมื่อ
หลินเป่ยเฉินคัดเลือกรูปปั้นมาสี่ตัว รูปปั้นแต่ละตัวล้วนเคยเป็นเทพเจ้าหน้าใหม่ที่มีค่าความซื่อสัตย์ต่อหลินเป่ยเฉินเต็มร้อยคะแนน
ทว่า หลินเป่ยเฉินไม่ได้เป็นคนดีอันใด
และเหตุที่ทำแบบนี้ …ก็เพราะเขาไม่มีทางนำบุคคลอันเป็นที่รักของตนเองมาเสี่ยงชีวิตอยู่แล้ว
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกและยืนอยู่หน้ารูปปั้นเหล่านั้น
เขานำโอสถคืนวิญญาณออกมาถืออยู่บนฝ่ามือ หลังจากนั้นก็ละลายมันด้วยพลังปราณของตนเอง และกรอกโอสถที่ถูกละลายเป็นน้ำนั้นใส่ปากของรูปปั้นที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
โอสถหลอมวิญญาณมีสีเขียวมรกต เมื่อได้รับการหลอมละลายจากพลังปราณของหลินเป่ยเฉิน มันก็ไหลรินเข้าสู่ภายในร่างกายรูปปั้นได้อย่างง่ายดาย และเพียงพริบตาต่อมา ความเปลี่ยนแปลงที่น่ามหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
พื้นผิวของรูปปั้นเริ่มเกิดรอยแตกร้าวมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ภายใต้รอยแตกร้าวนั้นสามารถมองเห็นสีผิวที่กลับมาเป็นปกติได้อย่างชัดเจน
รูปปั้นหินสั่นสะเทือนเล็กน้อย
พื้นผิวที่เป็นหินกะเทาะหลุดออกอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุด ร่างของคนที่กลายเป็นรูปปั้นหินก็กลับมาเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งอีกครั้ง
“ตะ…ใต้เท้า?”
เทพเจ้าหน้าใหม่ผู้นี้ย่อมรู้จักหลินเป่ยเฉิน ห้วงความคิดของเขายังคงอยู่ในลมหายใจสุดท้ายก่อนที่ตนเองจะเสียชีวิต สายตาของเขาเหม่อลอย ส่งเสียงพูดตะกุกตะกักว่า “ใต้เท้า… ท่านช่วยชีวิตข้าน้อยเอาไว้หรือ?”
ลมหายใจของเขาค่อนข้างแผ่วเบา
พลังปราณเทวะในร่างกายแทบไม่มีเหลือ
แต่เขายังคงมีสติและประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความอ่อนน้อม
“อย่าเพิ่งขยับตัวเลย”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นและวางมือไว้บนศีรษะของฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะโคจรพลังภายในร่างกายเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายของเทพเจ้าหน้าใหม่ผู้นี้
ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส
สภาพจิตใจได้รับการกระทบกระเทือน
ทั้งหมดนี้อาจเป็นความเสียหายที่เกิดก่อนการปิดผนึกจะอุบัติขึ้น
พลังปราณเทวะแทบไม่มีเหลือ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยเสียทีเดียว
หากไม่มีเหตุร้ายแทรกแซง สภาพอาการบาดเจ็บเช่นนี้ ย่อมดีขึ้นตามกาลเวลา
นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดให้น่าเป็นห่วงอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นและสอบถามอาการของเทพเจ้าหน้าใหม่ผู้นี้ต่อไป
จนกระทั่งได้รับการยืนยัน…
โอสถคืนวิญญาณใช้ได้ผล สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีกครั้ง
แต่ถึงกระนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยังทดลองกับรูปปั้นหินอีกสองตัว เป็นรูปปั้นที่ได้รับความเสียหายมากกว่ารูปปั้นตัวก่อนหน้านี้
และผลลัพธ์ก็ยังยอดเยี่ยมเช่นเคย
“โอสถคืนวิญญาณมีสรรพคุณยอดเยี่ยมกว่าที่เราเคยได้ยินมาอีกนะเนี่ย ต้องเป็นนักปรุงยาที่สูงส่งขนาดไหนกันนะถึงหลอมโอสถชนิดนี้ขึ้นมาได้… สงสัยเราคงต้องหาทางร่วมมือกับท่านปู่ในระยะยาวให้ได้แล้วสิ”
หลินเป่ยเฉินประหลาดใจอีกครั้งและอีกครั้ง
หลังจากนั้น เขาก็จะชุบชีวิตให้แก่บุคคลอันเป็นที่รักของตนเอง
แต่โอสถคืนวิญญาณเหลืออยู่เพียงเจ็ดเม็ด เท่ากับว่าเขาจะชุบชีวิตคนได้เพียงเจ็ดคนเท่านั้น
และสำหรับผู้ที่หลินเป่ยเฉินจะชุบชีวิตขึ้นมาเป็นคนแรก เขาก็เลือกเอาไว้นานแล้ว และเด็กหนุ่มก็เดินตรงไปยังรูปปั้นตัวนั้นโดยไม่ลังเล
เขาเดินไปหยุดยืนอยู่หน้ารูปปั้นของเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน
คนแรกที่หลินเป่ยเฉินจะชุบชีวิตกลับคืนมาก็คือสาวรับใช้เฉียนเจิน
ในหลาย ๆ ครั้ง หลินเป่ยเฉินมักจะรู้สึกสงสารเด็กสาวผู้นี้อยู่เสมอ
ในอดีต หวังจงไปซื้อตัวพวกนางมาจากหอนางโลมแห่งหนึ่ง… เอ๊ะ นี่หวังจงก็มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกแล้วหรือ?
ในตอนนั้น พวกนางไม่ได้ต่างไปจากหลินเป่ยเฉิน ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีผู้คนคอยหนุนหลัง เป็นเสมือนดอกไม้งามที่ลอยล่องไปตามสายลมอย่างไร้จุดหมาย
สำหรับสาวรับใช้ทั้งสองคน เฉียนเหมยจะมีลักษณะร่าเริงแจ่มใส ไม่ค่อยคิดสิ่งใดให้มากความ นางชอบความตื่นเต้นและหลงใหลการต่อสู้ในสนามรบ
ส่วนเฉียนเจินจะเป็นขั้วตรงกันข้าม นางอ่อนหวานนุ่มนวล ใจเย็นราวกับสายฝนในฤดูใบไม้ผลิ และมักจะติดตามหลินเป่ยเฉินอยู่ข้างหลังอย่างเงียบ ๆ เสมอ
พวกนางคือผู้ที่ทำให้หลินเป่ยเฉินลดความคิดถึงโลกมนุษย์ใบเก่าไปได้เยอะ
สาวรับใช้ทั้งสองคนเปรียบเสมือนครอบครัวของหลินเป่ยเฉิน
ดังนั้น เขาจึงต้องการชุบชีวิตพวกนางกลับคืนมาก่อนผู้ใด
หลินเป่ยเฉินยังคงทำเช่นเดิม โดยใช้พลังปราณหลอมละลายโอสถสีมรกตที่อยู่บนฝ่ามือ และนำโอสถที่ผ่านการหลอมละลายนั้นกรอกเข้าใส่ปากรูปปั้นของเฉียนเจิน
หัวใจของหลินเป่ยเฉินแทบกระดอนขึ้นมาอยู่ในลำคอ
นี่คือช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นที่แท้จริง
แม้ว่าการทดลองก่อนหน้านี้จะไร้ปัญหา แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องชุบชีวิตคนสำคัญของตนเองขึ้นมาจริง ๆ หลินเป่ยเฉินก็ยังอดรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ผิวหนังที่เป็นหินเริ่มหลุดร่อนออกไป
รูปปั้นเริ่มสั่นสะเทือน
และภายใต้การจ้องมองอย่างเป็นวิตกกังวลของหลินเป่ยเฉิน ในที่สุด รูปปั้นหินก็กลับกลายเป็นร่างของเด็กสาวที่เขาคุ้นเคยอย่างเชื่องช้า
ขนตาสีดำยาวงอนสั่นไหวเล็กน้อย
แล้วดวงตากลมโตสดใสคู่นั้นก็ค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้นมา
ใบหน้าอันหล่อเหลาของหลินเป่ยเฉินสะท้อนอยู่ในดวงตาเฉียนเจิน
“นายท่าน?”
เมื่อสติสัมปชัญญะหวนกลับคืน เฉียนเจินผู้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากความตายก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจสุดชีวิต
นี่เป็นภาพที่สวยงามที่สุดเท่าที่นางเคยพบเห็น
เฉียนเจินไม่ต่างจากหญิงสาวที่หลับลึกและได้ตื่นขึ้นมาพบเห็นสามีของตนเองอีกครั้ง รอยยิ้มที่แสดงออกถึงความสุขอันเปี่ยมล้นจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้ารูปไข่
ในที่สุด หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็กลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง
เขาไม่พูดคำใดนอกจากโอบกอดเฉียนเจินแนบแน่น หลินเป่ยเฉินลูบศีรษะของนางและสูดดมกลิ่นเรือนผมของนางเข้าไปจนฉ่ำปอด
เมื่อรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดของหลินเป่ยเฉิน เฉียนเจินจึงนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น