เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1758 สิ่งที่ข้าอยากจะถาม
ตอนที่ 1,758 สิ่งที่ข้าอยากจะถาม
ม่านพลังผนึกนภาเป็นม่านพลังสำหรับการใช้ป้องกันตัวที่ดีที่สุด ถือเป็นภาพลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งของสภาขุนนางในอาณาจักรซือเว่ย ทว่าเมื่อผลลัพธ์เป็นเช่นนี้…
“ในเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน...”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ ขณะจ้องมองไปที่องครักษ์ผู้เข้ามารายงานและกล่าวว่า “เหตุไฉนท่านยังไม่ไปเชิญตัวปี๋อวิ่นเถาเข้ามาที่นี่อีก?”
“อ้อ… รับทราบขอรับ”
องครักษ์ผู้นั้นตกตะลึงและรีบหมุนตัววิ่งออกไปนอกท้องพระโรงโดยทันที
องครักษ์หนุ่มผู้นี้มีความภักดีต่อราชสำนักอย่างยิ่ง ในอดีต เขาเคยได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิ แม้ว่าในภายหลังจะต้องทำงานอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของฮวาไป๋ก็ตาม แต่บัดนี้ เมื่อได้รับคำสั่งจากหลินเป่ยเฉิน องครักษ์หนุ่มก็ไม่กล้าลังเลรีรอแม้แต่ลมหายใจเดียว
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งอีกครั้งว่า “หวังจง จัดการเก็บกวาดซากศพ กลิ่นโลหิตเหม็นคาวเกินไป เดี๋ยวจะทำให้แขกรับประทานอาหารไม่ลง”
“รับทราบขอรับ นายน้อย”
หวังจงส่งเสียงรับคำสั่ง
เหตุการณ์อาละวาดของหลินเป่ยเฉินคือสิ่งที่อยู่ในแผนการของพวกเขา ดังนั้น กลุ่มคนที่มีหน้าที่เก็บกวาดซากศพจึงถูกเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว นายทหารเหล่านั้นก่อนหน้านี้ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นหิน แต่เมื่อได้ยินคำสั่งจากหลินเป่ยเฉิน พวกเขาก็รีบเดินออกมานำซากศพของเหอหนิงช่วงกับเหยียนซือเฉินออกไปทิ้งที่ด้านนอก ก่อนจะกลับมาทำความสะอาดคราบเลือดบนพื้น
ในเวลานี้ ฮวาไป๋ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว
เขารู้ดีว่าวันนี้ตนเองตัดสินใจผิดพลาด
เขาประมาทมากเกินไป
นอกจากจะไม่ล่วงรู้ฝีมือที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉินแล้ว เขายังไม่รู้ถึงความทะเยอทะยานของอีกฝ่ายด้วย
ฮวาไป๋โคจรพลังปราณและกลืนโอสถรักษาการบาดเจ็บภายใน หลังจากนั้น ถึงได้ส่งสัญญาณให้ผู้คนมาเก็บศพเจียงสือที่เสียชีวิตระหว่างการต่อสู้เมื่อสักครู่ออกไป ฮวาไป๋ไม่ได้พูดคำใดอีก แต่รีบคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์อยู่ในใจ
และนั่นก็เป็นเวลาเดียวกับที่องครักษ์คนเมื่อสักครู่นี้เดินกลับเข้ามาในท้องพระโรงพร้อมด้วยปี๋อวิ่นเถาที่มีคราบเลือดแปดเปื้อนเต็มตัว
ในขณะนี้ อดีตเจ้าหน้าที่สืบสวนหนุ่มอนาคตไกลแห่งหน่วยสืบสวนพิเศษและเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านกระบี่เป็นเลิศแห่งเมืองเทียนหลางซิงได้กลายเป็นผู้ที่มีเส้นผมสีขาวราวกับหิมะ สีหน้าเย็นชาปราศจากอารมณ์ความรู้สึก ชุดเกราะที่สวมใส่ซึ่งเป็นเครื่องแบบของหน่วยสืบสวนพิเศษนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของคมกระบี่ แม้แต่กระบี่ในมือของเขาก็เกิดรอยแตกร้าวเป็นบางส่วน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ที่ผ่านมามีความดุเดือดเพียงใด
ท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบ
ดวงตาทุกคู่จ้องมองไปที่ปี๋อวิ่นเถา
เมื่อวานปี๋อวิ่นเถายังผมดำอยู่เลย
แล้ววันนี้เขากลายเป็นผู้ที่มีผมสีขาวได้อย่างไร?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลินเป่ยเฉินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยท่าทางเกียจคร้าน
คล้ายกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตัวเขา
ปี๋อวิ่นเถามีดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ กวาดตามองไปทั่วท้องพระโรง สุดท้าย สายตาก็มาหยุดอยู่ที่ร่างของผู้คนหกคนบนเก้าอี้ทองคำ
เมื่อเขาเห็นว่าหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นมีหลินเป่ยเฉินรวมอยู่ด้วย ปี๋อวิ่นเถาก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่เพียงพริบตาเดียว บุรุษหนุ่มก็กลับมาเย็นชาดังเดิม สุดท้าย เขาก็หันหน้าไปจ้องมองที่รองผู้คุมสภาสวีฉานหลี่เขม็ง
สายตาอันเย็นชาของปี๋อวิ่นเถาทิ่มแทงมาไม่ต่างไปจากคมกระบี่แห่งความเกลียดชัง ชวนให้ผู้ที่ถูกจ้องมองรู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
สวีฉานหลี่รู้สึกผิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
ปี๋อวิ่นเถาเดินถือกระบี่ตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ใต้ขั้นบันไดทองคำ
เขากล่าวออกมาอย่างช้า ๆ
ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“เมื่อวานนี้ ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน...”
“บิดามารดาและพ่อตาแม่ยายของข้าต้องตาย”
“หญิงคนรักผู้เป็นเจ้าสาวของข้าต้องตาย”
“เพื่อนบ้านยี่สิบเอ็ดคนที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานวิวาห์ของข้าต้องตาย”
“สหายรักของข้าต้องถูกยาพิษตายไปต่อหน้าต่อตาข้า”
“ทุกคนต้องตายในงานวิวาห์ของข้า ทุกคนต้องถูกทรมานอย่างโหดร้ายทารุณหลังบ้านพักของข้า บ้านพักที่ข้าซื้อหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง…”
“สหายรักยังคงปลอบโยนข้าก่อนที่เขาจะตาย เขาบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของข้า แต่เป็นเพราะโลกนี้มันโหดร้ายมากเกินไป”
“ข้าไม่เข้าใจเลย”
“เหตุไฉนโลกนี้ถึงโหดร้าย เหตุไฉนข้าถึงต้องมาพบเจอเรื่องราวเหล่านี้”
“ดังนั้น ข้าจึงมีสิ่งที่อยากจะถามบรรดาใต้เท้าที่อยู่ที่นี่ทุกคน พวกท่านควบคุมชีวิตความเป็นความตายของประชาชนผู้บริสุทธิ์ในอาณาจักรซือเว่ย ข้าอยากจะถามว่า… เพราะเหตุใด เรื่องนี้ถึงต้องเกิดขึ้น?”
ปี๋อวิ่นเถาร่ำไห้ออกมาตลอดเวลาที่กล่าววาจา
เสียงของเขาก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง
กลุ่มขุนนางและแม่ทัพใหญ่บางคนก็มีสีหน้าว่างเปล่า บางคนก็หัวเราะเยาะเย้ย บางคนมีสีหน้าสงบเย็นชา บางคนก็เพียงยิ้มออกมาและไม่พูดคำใด
หลินเป่ยเฉินซึ่งตอนแรกตั้งใจจะนั่งเอนกายรับชมความสนุกอยู่เงียบ ๆ แต่แล้วเขาก็ต้องดีดตัวนั่งหลังตรง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำถามของปี๋อวิ่นเถา
เกิดเหตุร้ายมากมายขึ้นเช่นนี้เชียวหรือ?
เหตุร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ผู้ใดเป็นคนกระทำ?
ปี๋อวิ่นเถาร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด
แต่บนใบหน้าของปี๋อวิ่นเถาไม่มีความเศร้า สิ่งที่ผู้คนพบเห็นมีเพียงความโกรธแค้นดั่งภูเขาไฟระเบิดเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ความเศร้าโศกของผู้อื่นย่อมไม่มีค่าในสายตาของคนบางคน
ปฏิกิริยาตอบรับของกลุ่มขุนนางและแม่ทัพใหญ่ที่มีต่อคำถามนั้นก็คือการส่งเสียงหัวเราะในลำคอตอบกลับไป
“เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ถึงกับต้องบุกเข้ามาในวังหลวงเชียวหรือ?”
“เจ้าหน้าที่คนนี้คงเสียสติไปแล้ว”
“บิดามารดาของมันตกตาย แล้วมีอันใดเกี่ยวข้องกับพวกเรา?”
ในท้องพระโรง กลุ่มคนกระซิบกระซาบกันขณะจ้องมองไปที่ดวงตาของปี๋อวิ่นเถา แต่แทนที่จะมีความรู้สึกสงสารเวทนา หลายคนกลับแสดงความรำคาญใจออกมาโดยไม่ปิดบัง พวกเขาเพียงรู้สึกว่ามีชาวบ้านตายไปไม่กี่คน มิหนำซ้ำ ยังเป็นเพียงญาติของเจ้าหน้าที่ชั้นปลายแถวในหน่วยสืบสวนพิเศษ ซึ่งไม่มีค่าให้สนใจแม้แต่น้อย
หลายคนหันไปจ้องมองที่ฝั่งเก้าอี้ทองคำโดยไม่รู้ตัว
ท่านผู้คุมสภาฮวาไป๋มีสีหน้าเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจรับฟังเรื่องราวนี้เลย
ส่วนรองผู้คุมสภาอีกสี่คนก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป
สวีฉานหลี่ยิ้มมุมปากหัวเราะเยาะ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยจิตสังหาร
ม่อเฟิงนั่งนิ่งสีหน้าไร้ความรู้สึก
ม่อหลี่กอดกระบี่ของตนเองแนบแน่น ดวงตาปิดสนิท เสแสร้งแกล้งหลับได้หน้าตาเฉย
เยว่อี้นั่งอยู่ในเงามืด ไม่มีผู้ใดเห็นสีหน้าของเขาชัดเจน
ส่วนเซียนกระบี่นักล่าหัวหลินเป่ยเฉิน…
เด็กหนุ่มหน้าใหม่ผู้ยโสโอหังที่เรียกร้องให้นำตัวปี๋อวิ่นเถาเข้ามาในท้องพระโรงมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่พิจารณาจากสีหน้าของเขานั้น ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาได้เลยว่าหลินเป่ยเฉินรู้สึกอย่างไรกันแน่ อย่างน้อย เขาก็ไม่ได้สงสารปี๋อวิ่นเถาเลยสักนิด
ดูเหมือนบรรดาคนใหญ่คนโตจะไม่คิดสนใจเรื่องราวของปี๋อวิ่นเถากันเลยจริง ๆ
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้
ในงานเลี้ยงล่ากวาง กลุ่มคนที่ได้รับเชิญล้วนแต่เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อแบ่งดินแดนไปปกครองตามผลประโยชน์
แล้วยังจะมีผู้ใดไปสนใจความเป็นความตายของครอบครัวเจ้าหน้าที่สืบสวนชั้นปลายแถวอีกเล่า?
“พอได้แล้ว”
ทันใดนั้น น้ำเสียงอันเดือดดาลก็แผดก้องไปทั่วท้องพระโรง
นี่เป็นเสียงของหลี่เถียนซิง ผู้บัญชาการหน่วยสืบสวนพิเศษซึ่งลุกขึ้นยืนและจ้องมองตรงไปที่ปี๋อวิ่นเถาด้วยแววตาดุดัน “เสี่ยวปี๋ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาอาละวาดที่นี่? เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นการทำผิดกฎหมายขั้นร้ายแรง โทษของเจ้าถึงขั้นประหารชีวิต ยังไม่รีบทิ้งกระบี่ไปอีก”
หลี่เถียนซิงตัดสินใจแล้วว่าเขาจะใช้โอกาสนี้สร้างความดีความชอบให้แก่ตนเอง