เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1769 การเผชิญหน้า
ตอนที่ 1,769 การเผชิญหน้า
วังหลวง
“มาถึงเร็วเหลือเกิน”
หวังจงเงยหน้ามองท้องฟ้า “ดูเหมือนจะใช้เวลาน้อยกว่าที่พวกเราประเมินเอาไว้”
ปี๋อวิ่นเถายืนอยู่ด้านหลังองค์จักรพรรดิเต้าเจี๋ยนเซียวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ในสถานการณ์เช่นนี้ การปรากฏตัวของจอมเทพจักราคือตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดสถานการณ์ต่อจากนี้
“ถวายบังคมฝ่าบาท…”
ราชองครักษ์ผู้หนึ่งรีบเดินเข้ามารายงานว่า “มีกองทหารขนาดใหญ่ยกทัพมาปิดล้อมหน้าวังหลวง… และผู้ที่นำทัพมาก็คือท่านผู้คุมสภาฮวาไป๋พ่ะย่ะค่ะ”
“เห็นท่าจะไม่ดีแล้ว”
ปี๋อวิ่นเถาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ฮวาไป๋กำลังก่อกบฏ”
เต้าเจี๋ยนเซียวออกคำสั่งว่า “ปะ… ปะ… เปิดม่าน… พะ… พลัง…”
คำพูดยังไม่ทันจบประโยค
ม่านพลังที่เป็นเกราะป้องกันแน่นหนาก็ปรากฏขึ้นทั่ววังหลวง ส่งผลให้มวลอากาศปั่นป่วนเล็กน้อย
“ปะ… ปะ… ไป… ทะ… ทะ… ที่… ปะ… ปะ… รู… ตู…”
เต้าเจี๋ยนเซียวพยายามพูดอย่างยากลำบาก
“ไปที่ประตูวัง”
หวังจนทนไม่ไหวจึงต้องพูดแทนให้
ยอดฝีมือจำนวนมากพุ่งตัวเป็นลำแสงออกจากตำหนักหมาป่ามุ่งตรงไปยังหน้าประตูวังหลวงทันที
บัดนี้ หน้าประตูวังเต็มไปด้วยกองทัพของนายทหารเกราะสีดำ ทุกคนกำลังพยายามพังประตูรั้วเข้าสู่ด้านในวังหลวง ส่วนผู้ที่มีขั้นพลังแข็งแกร่งขึ้นมาหน่อยก็กำลังเหาะเหินอยู่บนท้องฟ้า พยายามบุกเข้าวังหลวงทางอากาศ
ครืน!
ทันใดนั้น พื้นดินสั่นสะเทือน
ฮวาไป๋ปรากฏตัวอยู่บนแผ่นหลังของอสูรดาราตัวหนึ่ง มันเดินแหวกกลุ่มนายทหารออกมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า รอบกายของฮวาไป๋รายล้อมด้วยยอดฝีมือหลายร้อยคน
“สังหารทุกคนให้สิ้น”
ฮวาไป๋ยกมือออกคำสั่ง “เราจะปล่อยให้กษัตริย์ผู้เสียสติกับขุนนางฉ้อฉลอย่างหวังจงลอยนวลต่อไปไม่ได้เด็ดขาด”
“สังหารกษัตริย์เสียสติ ประหารหวังจง”
“สังหารกษัตริย์เสียสติ ประหารหวังจง”
กองทัพเกราะดำระเบิดเสียงคำรามออกมาดังสนั่นหวั่นไหว
แล้วการโจมตีก็เพิ่มความหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้น
…
“ม่านพลังสามารถคุ้มครองวังหลวงได้เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น พวกเราควรใช้เวลาหนึ่งชั่วยามนี้…” ดวงวิญญาณของแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นพลันปรากฏตัวขึ้นมา
เขาเคยเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ประจำวังหลวง จึงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับระบบการป้องกันภายในวังหลวงเป็นอย่างดี
แต่แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นพูดยังไม่ทันจบประโยค
ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น
วูบ!
ม่านพลังสีทองคำที่เคยคุ้มครองทั่วเขตวังหลวงอยู่ดี ๆ ก็จางหายไป
“นี่มันอะไรกัน?”
“มีคนทำลายแกนพลังของค่ายอาคม…”
ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตื่นตระหนกดังออกมาจากส่วนลึกของวังหลวง “พระปิตุลา*[1] ทำการสังหารเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมค่ายอาคมทั้งหมดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เต้าเจี๋ยนเซียวกับปี๋อวิ่นเถามีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที
บัดซบจริง ๆ
มีคนทรยศอยู่ในราชสำนัก
เมื่อม่านพลังถูกสลายลงไป พวกเขาก็มีแต่ต้องหยิบจับอาวุธต่อสู้เท่านั้น
สถานการณ์ของราชสำนักย่ำแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสียงการระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แล้วเปลวไฟก็เริ่มโหมไหม้ในวังหลวง
…
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินเพิ่งกลับมาจากแผ่นดินตงเต้า ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เขาก็เห็นร่างของสตรีผู้หนึ่งลอยตัวอยู่กลางท้องฟ้า
จอมเทพจักรา?
มาหาเขาเนี่ยนะ?
“ท่านแม่ทัพหลิน คนผู้นี้อยู่ในขอบเขตจอมเทพจักรา คงรับมือได้ไม่ง่ายแล้วเจ้าค่ะ…”
หัวหน้าหน่วยองครักษ์สุยหลิวกวงปรากฏกายขึ้นเป็นคนแรกและบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
ยอดฝีมือระดับจอมเทพจักราขั้นสูง?
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความกระตือรือร้น
นับตั้งแต่เลื่อนขั้นพลังด้วยวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณได้สำเร็จ ร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็มีความแข็งแกร่งมากขึ้น แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ทดสอบจริง ๆ เลยว่าตนเองมีความแข็งแกร่งทางร่างกายอยู่ในระดับใดกันแน่
หรือนี่จะเป็นโอกาสของเขาแล้ว?
“คุ้มครองคฤหาสน์ให้ดี”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง “ข้าจะขึ้นไปพบกับยอดฝีมือท่านนี้สักหน่อย”
ร่างของเด็กหนุ่มเคลื่อนไหววูบ
ฉับพลันนั้น
ลำแสงสีเงินพุ่งผ่านท้องฟ้าทะลวงขึ้นไปในอากาศ
“ได้ยินว่ามีผู้คนเรียกหาข้า บัดนี้ ข้ามาแล้ว”
เสียงคำรามดังกังวานไปทั่วแผ่นฟ้า เช่นเดียวกับพลังปราณกระบี่ที่ครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง
นี่ย่อมเป็นการปรากฏตัวของคุณชายหลิน ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งกองทัพเซียนกระบี่
หวงเฉิงอี้ไม่ได้รีบร้อนลงมือโจมตี
นางหรี่ตาจ้องมองเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าด้วยความพินิจพิจารณา
ผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์มักจะมีผิวพรรณขาวเนียน รูปกายหล่อเหลามากกว่าผู้คนทั่วไป
นี่คือเหยื่อที่น่าสนใจยิ่งนัก
รอยยิ้มชอบใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวงเฉิงอี้ จากนั้นนางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สหายน้อย ข้าจะมอบโอกาสให้แก่เจ้า… เรามาสู้กันอย่างยุติธรรมเถอะ”
ในเวลาเดียวกันนี้
กระบี่สีเงินในมือหลินเป่ยเฉินลุกเป็นเปลวไฟโชติช่วง จากนั้นเขาก็โคจรพลังของตนเองเต็มอัตรา เพื่อรับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรา
คู่ต่อสู้ของเขามีหน้าตางดงามไม่เลว
นางมีส่วนสูงมากกว่าสตรีทั่วไป
ผมสีทองยาวสลวยแผ่สยายเต็มแผ่นหลัง นางลอยตัวอยู่เหนือเรือเหาะสีทองคำ รอบกายเปล่งแสงทองคำแผ่รัศมีได้น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
องค์ประกอบบนใบหน้าก็จัดได้ว่าสมบูรณ์แบบ แม้จะทำให้ใบหน้าของนางดูเป็นสตรีที่ร้ายกาจไปหน่อยก็ตาม
ชุดเกราะทองคำที่สวมใส่ก็เป็นชุดเกราะที่ออกแบบมาสำหรับสตรีโดยเฉพาะ มันเป็นชุดเกราะที่ปกคลุมส่วนสงวนของร่างกายอย่างเช่นบริเวณหน้าอกและบั้นท้าย แต่ส่วนอื่นที่เหลืออย่างเอวคอดกิ่วและช่วงขาเรียวยาวก็เปิดเผย จนเห็นผิวพรรณขาวผ่อง สองเท้าที่ขาวเนียนของนางได้รับการปกป้องคุ้มครองด้วยรองเท้าบูททองคำครึ่งแข้ง
นี่คือความสวยงามที่แท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง ผิวพรรณ หรือสีผม…
ลักษณะทางกายภาพของสตรีผู้นี้ทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงผู้หญิงทางฝั่งยุโรปของโลกมนุษย์ใบเก่าของเขาขึ้นมาทันที
แต่สาวยุโรปไม่เคยเป็นสเปคของเขา เพียงเห็นหน้านาง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกอยากจะจัดการให้หมดเรื่องหมดราวไปซะ
และสิ่งที่แปลกประหลาดมากที่สุดของสตรีผู้นี้ก็คือ ดวงตาของนางไม่มีตาขาว ในเบ้าตาของนางมีแต่เพียงตาดำเท่านั้น
อีกอย่างที่น่าประหลาดใจก็คือเมื่อได้พบหน้ากับสตรีผู้นี้ เลือดลมในร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็สูบฉีดขึ้นมาทันที จิตสังหารแผ่ซ่านอย่างควบคุมไม่ได้
คล้ายกับว่าเขาได้พบเจอศัตรูโดยกำเนิดของตนเองอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าเป็นผู้ใด?”
หลินเป่ยเฉินพยายามสะกดกลั้นจิตสังหารของตนเองและถามว่า “ไม่ทราบว่ามาเรียกหาข้าถึงที่นี่ มีเหตุผลใดหรือไม่?”
“สหายน้อย เจ้าสังหารคนของข้าในเมืองเทียนหลางซิง เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าข้าคือผู้ใด?”
หวงเฉิงอี้เชิดหน้าขึ้นสูง นางเหลือบตามองเด็กหนุ่มไม่ต่างจากจ้องมองมดปลวกตัวหนึ่ง และหัวเราะเยาะเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อไปว่า “ก่อนตายหลินซิงเฉิงไม่ได้บอกเจ้าหรือว่า ผู้ที่คิดเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เพราะพวกเขาจะต้องถูกไล่ล่าตามล้างแค้นตลอดไป”
“เผ่าพันธุ์ปีศาจ?”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบขึ้นมาทันที
[1] พระปิตุลา เป็นคำราชาศัพท์ ใช้เป็นคำเรียกลุงหรืออาชาย