เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1775 ท่านมาทำอะไรที่นี่
ตอนที่ 1,775 ท่านมาทำอะไรที่นี่
“ไม่ทราบว่าท่านผู้สูงส่งมีคำชี้แนะใดหรือไม่?”
หวงเฉิงอี้เปลี่ยนมาถามด้วยความระมัดระวัง โดยพยายามไม่แสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ
หวังจงแสร้งโง่ “จอมเทพจักราระดับ 2 เคยเป็นมนุษย์แต่ย้ายไปเข้าเผ่าพันธุ์ปีศาจ นับว่าช่างน่าอนาถใจเหลือเกิน เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าบัดนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจได้เปลี่ยนไปแล้ว?”
หวงเฉิงอี้มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น
เหตุไฉนชายชราผู้นี้จึงรู้ข้อมูลเชิงลึกของเผ่าพันธุ์ปีศาจ?
“ไม่ทราบว่า… ท่านผู้สูงส่งมาจากที่ใด?”
นางรีบเก็บเมล็ดพฤกษา รู้ดีว่าการต่อสู้ไม่ใช่ทางเลือก เพราะทางรอดเดียวของนางในขณะนี้คือการหลบหนีเท่านั้น
ความพ่ายแพ้ในเมืองเทียนหลางซิงทำให้ขวัญกำลังใจของหวงเฉิงอี้สูญสลายหมดสิ้น
นอกจากจะต้องเผชิญกับความแข็งแกร่งที่เหนือความคาดหมายของหลินเป่ยเฉินแล้ว บัดนี้ หวงเฉิงอี้ยังต้องมาพบเจอชายชราร่างอ้วนลึกลับผู้นี้อีก... นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ดังนั้น หวงเฉิงอี้จึงพยายามล่าถอยออกมา
หวังจงยิ้ม จากนั้นยกมือขึ้นหมุนวนในอากาศ
แล้วสีหน้าของหวงเฉิงอี้ก็มีแต่ความตกตะลึง
เพราะเมล็ดพฤกษาที่นางเพิ่งจะเก็บไปนั้นได้ลอยไปอยู่ในมือของหวังจง
“เมล็ดเถาวัลย์พันดารา เมล็ดเถาวัลย์เพลิงตะวัน เมล็ดเถาวัลย์ปากอสูร... ล้วนแต่เป็นเมล็ดพฤกษาที่หายากทั้งสิ้น เจ้าคงสร้างกำไรให้นายน้อยได้มากโขเลยทีเดียว”
หวังจงรวบรวมเมล็ดพฤกษาเหล่านั้น ขณะจ้องมองตรงไปที่ดวงตาของหวงเฉิงอี้และกล่าวต่อไป “หากเจ้าไม่รู้จักนามหวังจง แล้วเจ้ารู้จักนามหวังหยงจงหรือไม่?”
หวงเฉิงอี้ถึงกับตกตะลึง
นางคุ้นชื่อนี้!
ดูเหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน...
เดี๋ยวก่อนนะ?
ชื่อของยอดฝีมือท่านหนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจ
“ทะ… ทะ… ท่านคือขุนพลโลกันตร์…”
ใบหน้าของหวงเฉิงอี้ซีดเผือดขึ้นมาในทันใด ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
เพราะหวังหยงจงคือผู้แข็งแกร่งในตำนาน
ไม่ทราบเลยว่าบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ปีศาจต้องตายด้วยน้ำมือของคนผู้นี้ไปมากน้อยเพียงใด
ในกลุ่มขุนศึกทั้งยี่สิบสี่คนผู้ติดตามองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ขุนพลโลกันตร์คือหนึ่งในผู้ติดตามที่มีฝีมือแข็งแกร่งมากที่สุด
และที่สำคัญก็คือ ตำนานมักจะเล่าขานว่าคนผู้นี้เป็นที่ปรึกษาคนสนิทขององค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ยามอยู่ในสมรภูมิรบ หวังหยงจงรับหน้าที่สำคัญในการวางกลยุทธ์การรบ
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป คนผู้นี้ก็หายตัวอย่างเป็นปริศนา ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าหวังหยงจงหายตัวไปอยู่ที่ใด เผ่าพันธุ์ปีศาจพยายามตามล่าตัวเขามาช้านาน แต่สุดท้ายก็พบเจอเพียงความล้มเหลว
ทว่าบัดนี้ หวงเฉิงอี้ได้แต่ภาวนาว่าชายชราที่นางกำลังพบเจออยู่นี้คงไม่ใช่หวังหยงจงตัวจริง
เพราะนางทราบดีว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย… ไม่สามารถเปรียบเทียบได้แม้แต่มดปลวกตัวหนึ่งด้วยซ้ำ!
“ฮ่า ๆๆ มันจะเป็นไปได้อย่างไร”
หวังจงยิ้มออกมาเล็กน้อย “ข้าไม่ใช่ขุนพลโลกันตร์สักหน่อย”
ว่าไงนะ?
หวงเฉิงอี้เบิกตาโตด้วยความไม่เข้าใจ
แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างไม่รู้ตัว
ในเมื่อไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร
แต่ทันใดนั้น หวงเฉิงอี้ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เมื่อนางก้มหน้ามอง สีหน้าก็ปรากฏความแตกตื่นลนลาน
เนื่องจากโลหิตกำลังไหลทะลักออกมาจากรูขุมขนบนร่างกายของนางไม่หยุดยั้ง และเพียงพริบตาเดียว นอกจากผิวหนังของนางจะแห้งแตกระแหงไม่ต่างจากก้นแม่น้ำแห้งขอด ผิวหนังของนางก็เริ่มแตกสลายกลายเป็นผุยผงอีกด้วย
“ข้า…”
เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ ความหวาดกลัวสุดขีดก็เกาะกุมจิตใจ
นางเป็นผู้มีพลังที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรา
แล้วจะเคยตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร?
เลือดภายในร่างกายของนางไหลทะลักออกไปอย่างควบคุมไม่ได้
โลหิตเหล่านั้นลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่พวกมันจะรวมตัวกันเป็นใบหน้าของเด็กน้อยผู้หนึ่งซึ่งกำลังแลบลิ้นปลิ้นตาหลอก...
สูบเลือดออกไปเพื่อเอาไปทำหน้าเด็กผีเนี่ยนะ?
เป็นเขาจริง ๆ ด้วย
นางเข้าใจไม่ผิด!
“ท่านโกหกข้า… ท่านคือ… ขุนพล…”
แต่หวงเฉิงอี้ยังพูดไม่จบประโยค ศีรษะของนางก็แตกสลายกลายเป็นผุยผงไปต่อหน้าต่อตาหวังจง
“เฮ้อ ข้าจะไปโกหกเจ้าได้อย่างไร”
หวังจงอ้าปากออกและดูดโลหิตในอากาศทั้งหมดเข้ามาในปากตนเอง
“รสชาติก็ธรรมดานี่นา”
หวังจงยกมือเช็ดปาก “เลือดปีศาจอย่างไรก็เหม็นคาวอยู่วันยันค่ำ”
“แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังรับประทานมันอยู่ดี”
พลัน มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ประตูมิติเปิดออกกว้างกลางอากาศในลักษณะของวังน้ำวนแสงสว่าง
แล้วร่างกายอันกำยำของโจวเทียนอวิ๋นก็ก้าวออกมาในชุดนอนประจำตัว
ด้านหลังประตูมิตินั้นสามารถมองเห็นท่าเทียบเรือของกำแพงเมืองฝั่งเหนือประจำเมืองหลานเหนี่ยวได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ที่สะท้อนตัวอยู่ในสระว่ายน้ำบนดาดฟ้าเรือเหาะลำหนึ่ง มีเด็กสาวหน้าตาดีจำนวนมากกำลังแหวกว่ายอยู่ในสระน้ำนั้น
แล้วประตูมิติก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านมาทำอะไรที่นี่?”
หวังจงหันไปถาม “อย่าบอกนะว่าเป็นห่วงข้า?”
“เรื่องนั้นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะไว้ใจได้อย่างไร”
โจวเทียนอวิ๋นสัมผัสได้ว่าพลังปราณของหวงเฉิงอี้ได้สลายหายไป และไม่มีการติดต่อส่งข่าวระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจ ดังนั้น โจวเทียนอวิ๋นจึงสามารถโล่งใจได้อย่างเต็มที่ “หากไม่ใช่เพราะว่าท่าน นายท่านก็คงไม่…”
“อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย”
หวังจงชักสีหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อไป “ไม่ว่าข้าจะเคยทำอะไรเอาไว้ แต่อดีตได้ผ่านไปแล้ว… ข้าจะไม่กลับไปเป็นอย่างในอดีตอีก เข้าใจหรือไม่?”
“หากท่านฆ่าปีศาจน้อยสักตัวหนึ่งคงไม่เป็นไรหรอก แต่หวงเฉิงอี้เป็นสมาชิกระดับสูงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เราคงปิดข่าวเรื่องนี้ได้สักระยะ แต่การหายตัวไปของนาง ย่อมทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจติดตามเบาะแสมาจนถึงอาณาจักรซือเว่ยได้ไม่ยาก และเมื่อถึงตอนนั้น… นายท่านก็จะต้องพบเจอกับความยากลำบากครั้งใหญ่ อาศัยเพียงท่านกับข้าสองคน คิดว่าจะทำให้นายท่านเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้หรือ?”
โจวเทียนอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงตักเตือน
หวังจงยักไหล่ด้วยความไม่แยแสใด ๆ “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถึงอย่างไรเราก็มีการคุ้มครองจากกงจักรแดงหมื่นดารา แล้วท่านยังจะต้องกลัวอะไรอีก?”
โจวเทียนอวิ๋นส่ายศีรษะก่อนตอบว่า “ข้ารู้สึกถึงลางร้ายว่าทุกอย่างคงไม่ได้เป็นไปตามที่ท่านคิด อีกอย่าง อาวุธเหล่านั้นก็ผ่านกาลเวลามานานมากแล้ว อย่างไรก็ต้องมีความชำรุดทรุดโทรม อานุภาพของพวกมันคงไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนในอดีต”
โจวเทียนอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงตักเตือนอีกครั้ง
“ยอดฝีมืออย่างท่าน เที่ยวมาพูดถึงเรื่องลางสังหรณ์ให้ผู้อื่นฟังเนี่ยนะ?”
หวังจงเลิกคิ้วขึ้นสูงและอดกระเซ้าเย้าแหย่ไม่ได้ “อะไรกัน? หรือว่าท่านกลัว?”
โจวเทียนอวิ๋นหัวเราะในลำคอ “สุนัขเฒ่า อย่าได้พูดจาหาเรื่อง…”