เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1776 อย่าบอกว่าข้าอยู่ที่นี่
ตอนที่ 1,776 อย่าบอกว่าข้าอยู่ที่นี่
โจวเทียนอวิ๋นกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านต้องอย่าลืมว่ากงจักรแดงหมื่นดาราเสียหายเมื่อไหร่ ผู้เป็นเจ้าของก็จะได้รับอันตรายเมื่อนั้น และตอนที่ท่านขอให้ข้าอยู่เฝ้ากำแพงเมืองที่ท่าเทียบเรือนั้น นอกจากท่านสัญญาว่าจะปกป้องนายท่านแล้ว ท่านยังบอกอีกด้วยว่าจะตามหาที่อยู่ของสหายร่วมรบของพวกเราทุกคน”
“ข้าพบเบาะแสของพวกเขาได้หลายคนแล้ว”
หวังจงตอบด้วยสีหน้ามั่นใจ “แต่ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวดีก็คือนายท่านมีพรสวรรค์มากกว่าที่คิด การฝึกวิชาต่าง ๆ สำเร็จคืบหน้าไปด้วยดี ดูอย่างวิชากายคงกระพันของเจ้าประไร บัดนี้ นายท่านก็เลื่อนขั้นขึ้นมาได้หลายระดับแล้ว แม้แต่เจ้าเองก็ยังทำไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ?”
โจวเทียนอวิ๋นถามกลับมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติของนายท่านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
หวังจงพูดอะไรไม่ออก
แต่ก็… ใช่ นี่คือเรื่องปกติของนายท่านอยู่แล้ว!
“เราอย่ามาเสียเวลากันอีกเลย มาพูดเรื่องสำคัญกันดีกว่า เมื่อไหร่ท่านถึงจะบอกเบาะแสของสหายเก่าของเราสักที?”
โจวเทียนอวิ๋นดึงเรื่องกลับเข้าประเด็นสำคัญ
หวังจงผายมือออกกว้างและยักไหล่ก่อนตอบว่า “เหล่าโจว ความคิดของท่านตื้นเขินมากเกินไป สมองของท่านไหลลงมาอยู่ในกล้ามเนื้อหมดแล้วหรือไร บางครั้งรู้มากเกินไปมันก็ไม่ดีต่อตัวเองหรอกนะ… ข้าพูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว”
โจวเทียนอวิ๋นเป็นฝ่ายที่พูดอะไรไม่ออกบ้าง
นับว่าเป็นการถูกหลอกด่าที่น่าเจ็บปวดยิ่งนัก
“ท่านรู้หรือไม่? เหตุผลที่ข้ายังไม่ฆ่าท่าน ก็เพราะนายท่านยังคงต้องใช้งานท่านอยู่ในเวลานี้”
โจวเทียนอวิ๋นระเบิดเสียงคำรามด้วยความฉุนเฉียว และเมื่อเขาหมุนตัวกลับไป ประตูมิติก็เปิดออกอีกครั้ง
“ไม่ นั่นเป็นเพราะท่านห่วงหาอาวรณ์ข้าต่างหาก”
หวังจงยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น…
“อุ๊ย? อยู่กับนายน้อยมากเกินไป ชักติดนิสัยของนายน้อยมาซะแล้ว…”
พ่อบ้านชราหมุนตัวและเหินร่างขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาถอนหายใจพร้อมกับส่ายศีรษะเล็กน้อย
“เฮ้อ ข้าคือบุรุษผู้หล่อเหลาไร้เทียมทาน แต่โลกนี้ก็บังคับให้ข้าต้องเป็นตัวชั่วร้ายจนได้ นับว่าน่าเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน… อีกไม่ถึงหนึ่งเดือน พวกมันก็คงรู้เรื่องความตายของหวงเฉิงอี้แล้ว เผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องส่งยอดฝีมือระดับสูงมาที่อาณาจักรซือเว่ยอีกเป็นฝูงแน่ ๆ…”
“และเมื่อเวลานั้นมาถึง นายน้อยก็คงต้องพึ่งพาตนเองแล้ว เหล่าโจวกับข้าจะช่วยเหลือมากไปกว่านี้ไม่ได้อีก มิเช่นนั้น พวกมันอาจจะค้นพบความลับของกงจักรแดงหมื่นดาราเร็วเกินกว่าที่ควรจะเป็น… เฮ้อ นายน้อยนะนายน้อย ถึงเวลาที่ท่านต้องยืนด้วยลำแข้งของตนเองแล้ว การสำรวจสุสานกษัตริย์ต่อจากนี้ไป ท่านต้องคว้าโอกาสอันดีงามเอาไว้ให้ได้”
แล้วร่างของหวังจงก็ค่อย ๆ หายวับไป
…
“ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้วหรือ?”
เมื่อเด็กสาวนักปรุงยาเห็นกองทัพฝ่ายกบฏที่มาปิดล้อมคฤหาสน์ลู่หลิวแตกกระเจิงหลบหนีกลับไปอย่างไม่เป็นกระบวนทัพ นางก็ต้องหันมาถามอากวงด้วยสีหน้าตกตะลึง “พวกเขาหวาดกลัว… ระเบิดอึของเจ้าเนี่ยนะ?”
มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
ไม่น่าเป็นไปได้
“ท่านพี่ เมื่อสักครู่นี้ ท่านเห็นลูกไฟที่ตกลงมาจากท้องฟ้าหรือไม่?”
เสี่ยวติงผู้เป็นน้องชายพลันพูดขึ้น “ดูเหมือนมันจะตกไปทางวังหลวงพอดี”
ครืด! ครืด!
อากวงเขียนข้อความลงบนกระดานชนวนอย่างรวดเร็ว ‘น่าจะเป็นนายท่านกลับมาแล้ว’
นายท่านเป็นคนจัดการคู่ต่อสู้ที่มีขั้นพลังอยู่ในขอบเขตจอมเทพจักรา
เมื่อนายท่านกลับมา ศัตรูย่อมหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัว
เด็กสาวกำลังจะกล่าวตอบกลับไปว่า “เลิกพูดถึง…”
แต่แล้วนางก็หยุดชะงัก
เพราะห่างออกไปไม่ไกล หลินเป่ยเฉินได้มาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าคฤหาสน์ลู่หลิวแล้วจริง ๆ เด็กหนุ่มยกมือปิดจมูกข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้างโบกหมอกควันในอากาศด้วยสีหน้าขยะแขยง พร้อมกันนั้นก็ส่งเสียงตะโกนด้วยความโมโหว่า “อากวง เจ้าทำอะไรลงไป!!!”
“จี๊ด?”
อากวงหน้าเครียดขึ้นมาทันที ขนบนลำตัวของมันลุกชันหมดแทบทุกเส้น
‘อย่าบอกนายท่านนะว่าข้าอยู่ที่นี่’
เจ้าหนูยักษ์รีบเขียนข้อความลงบนกระดานและหายตัวไปด้วยความรวดเร็ว
เด็กสาวเบิกตาโตด้วยความพิศวง
ให้ตายเถอะ
จะกลัวอะไรขนาดนั้น
นางกระโดดลงจากป้อมปราการและเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉินที่เดินสวนเข้ามา จากนั้นนางก็แสร้งถามเหมือนไม่สนใจสักเท่าไหร่ “จอมเทพจักราที่มาตามหาท่านผู้นั้น ไม่ทราบว่านางกลับไปแล้วหรือ?”
“กลับไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ “หลังจากเจรจาด้วยกำปั้นและกระบี่ของข้าอยู่หลายกระบวนท่า ในที่สุด ข้าก็สามารถกล่อมให้นางกลับไปได้สำเร็จ”
เสี่ยวติงรับฟังด้วยความตื่นเต้น
ผู้เป็นพี่สาวของเขาใช้สายตาสำรวจมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ท่าน... ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
“ย่อมได้รับบาดเจ็บ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบรับ “แต่นอนหลับพักผ่อนสักคืนก็หายดีแล้ว”
เด็กสาวถึงกับพูดคำใดไม่ออก
ผายลมมารดาท่านเถอะ…
นางเกือบจะหลุดสบถออกมา
ว่าแต่นางสบถได้หรือไม่?
เด็กสาวรู้สึกพิศวงงงงวยไม่เข้าใจสิ่งใดทั้งสิ้น
“ดูเหมือนการต่อสู้ที่วังหลวงจะยุติลงแล้ว พวกกบฏมันยกกองทัพไปปิดล้อมวังหลวง…”
เด็กสาวรีบตั้งสติและแสยะยิ้มเหยียดหยาม “ท่านว่าตนเองได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านราชครูประจำตัวองค์จักรพรรดิไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมไม่ไปช่วยเหลือวังหลวงบ้าง?”
“ข้าไปช่วยมาแล้ว”
หลินเป่ยเฉินตอบ “ข้าแค่ไปเสนอหน้าที่นั่นและฆ่าพวกขุนนางใหญ่ไม่กี่คน พวกกบฏที่เหลือก็ยอมคุกเข่าขอยอมแพ้แต่โดยดีกันไปเอง… ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน”
สีหน้าของเด็กสาวยิ่งดูพิลึกชอบกลมากไปกว่าเดิม “ท่านสามารถกล่าววาจาเหลือเชื่อเหล่านี้ออกมาตลอดเวลาได้อย่างไร?”
“เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้การฝึกวิชาเฉพาะตัวน่ะ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น “กว่าที่ข้าจะมาถึงระดับนี้ได้ ต้องผ่านการตบตีและทำสงครามกับพวกเกรียนคีย์บอร์ดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”
เด็กสาวขมวดคิ้วนิ่วหน้า
หลินเป่ยเฉินกำลังพูดถึงอะไร?
และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความคิดที่จะเสียเวลาพูดคุยกับนางอีกต่อไป
เพราะเมื่อเห็นว่าสองศรีพี่น้องคู่นี้ยังคงอยู่รอดปลอดภัย หลินเป่ยเฉินก็แน่ใจได้แล้วว่าตนเองยังคงมีคนคอยหลอมโอสถคืนวิญญาณให้ต่อไป เรื่องอื่นก็ไม่มีอันใดสำคัญอีกแล้ว เพราะฉะนั้น เขาจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าสู่คฤหาสน์ด้วยความสบายใจยิ่งนัก
“นี่ อย่าเพิ่งไปสิ ช้าก่อน ข้ามีเรื่องอยากถามท่านอีก...”
เด็กสาวหมุนตัวพยายามจะวิ่งตามเข้าไป
“หยุด”
หุ่นอสูรน้ำเงิน 1 และน้ำเงิน 2 พลันปรากฏตัวขึ้นมาขวางหน้าเด็กสาวนักปรุงยาและส่งเสียงพูดที่ชวนให้ขนหัวลุกเป็นอย่างยิ่ง “นี่คือที่พักของนายท่าน เจ้าเข้าไปไม่ได้”
“แต่ว่า… แต่ว่าข้า…”
เด็กสาวพยายามจะอธิบาย
ทว่า หุ่นอสูรในชุดเกราะสีน้ำเงินมีดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ พวกมันยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่เปิดช่องสำหรับการเจรจา