เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1779 แยกย้ายกันค้นหา
ตอนที่ 1,779 แยกย้ายกันค้นหา
“เจ้าหยาบคายต่อหญิงงามเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“นางแค่ขอติดตามไปด้วยเท่านั้น ไม่ได้รบกวนอันใดเจ้าเลย”
“นั่นสิ หรือว่าเจ้าได้สิทธิ์มาเพราะชนะการประมูลอย่างนั้นหรือ?”
“หากเจ้าเข้าสุสานกษัตริย์ไปเพียงคนเดียว เกิดเจ้าไปตายในนั้นขึ้นมา ก็จะไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้าตายแล้ว… แต่ถ้าไปกันหลายคน อย่างน้อยก็ยังพอช่วยเหลือกันได้”
กลุ่มยอดฝีมือขั้นจอมเทพจักรพรรดิซึ่งยืนอยู่บริเวณนั้นพากันจ้องมองไปที่บุคคลปริศนาในชุดเสื้อคลุมสีดำด้วยความไม่พอใจ
ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมองออกว่าคนกลุ่มนี้กับหงเฉินเป็นพวกเดียวกัน
และสำหรับกลุ่มคนประเภทนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างขึ้นมา พวกเขาก็สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี
นี่ก็คือหนึ่งในการปรับตัวของพวกเขาเช่นกัน
บุคคลปริศนาในชุดเสื้อคลุมสีดำยังคงนิ่งเงียบ
“เฮอะ บัดซบจริง ๆ เลย…”
พลัน เสียงสบถดังขึ้น “งั้นทำไมพวกเจ้าไม่พานางไปเองล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากกลุ่มผู้คนและยกมือชี้หน้ากลุ่มคนที่กำลังกล่าวโทษบุคคลปริศนาในชุดเสื้อคลุมสีดำนั้น “หากพวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติเข้าไปสำรวจสุสาน ก็จงอยู่เฉย ๆ ซะ อย่าได้มาส่งเสียงวุ่นวายแถวนี้ ที่นี่เป็นอาณาเขตของข้า ข้าจะไม่ทนกับพวกเจ้า ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ข้าสามารถระเบิดศีรษะของพวกเจ้าได้ในพริบตาเดียว”
กลุ่มยอดฝีมือถึงกับตกตะลึง
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเซียนกระบี่นักล่าหัวหลินเป่ยเฉินจะออกมาแก้ตัวแทนบุคคลปริศนาเช่นนี้
ดังนั้น บรรยากาศจึงตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัดใจ
“พวกเรา… แค่ปรึกษาหารือกันเท่านั้นเจ้าค่ะ ไยเซียนกระบี่หลินจึงต้องเดือดดาลด้วย?”
หงเฉินเบิกตาโตและรีบอธิบายโดยเร็ว “อีกอย่าง เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับท่านสักหน่อย”
“ฮ่า ๆๆ”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความตลกขบขันเป็นที่สุด “ผู้ใดกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า? จะบอกให้นะ ในอาณาจักรซือเว่ยแห่งนี้ ไม่ว่าเป็นเรื่องราวน้อยใหญ่แค่ไหน มันก็เกี่ยวข้องกับข้าทั้งนั้น นี่เรียกว่านอกจากมีบริการก่อนการขายแล้ว ยังมีการบริการหลังการขายอีกด้วย… เจ้าไม่เชื่อหรือ? ถ้าอย่างนั้นลองมาสู้กับข้าดูก็ได้”
“ท่าน...”
หงเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
หลังจากนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย นางก็รู้สึกว่าการมีเรื่องขัดแย้งกับเซียนกระบี่นักล่าหัวหลินเป่ยเฉินในยามนี้เป็นเรื่องที่ไม่ชาญฉลาดสักเท่าไหร่ ดังนั้นหงเฉินจึงหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณกับกลุ่มยอดฝีมือว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
กล่าวจบ พวกนางก็พุ่งร่างเป็นลำแสงหายวับเข้าไปในช่องว่างระหว่างม่านหมอกขาว
ถึงอย่างไรเพียงเท่านี้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
ต่อให้ไม่มียอดฝีมือคอยคุ้มครองเมื่อเข้าสู่สุสานกษัตริย์ แต่เมื่อได้เข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว ทุกคนก็ย่อมมีโอกาสร่ำรวยได้เสมอ
“พวกเราก็เข้าไปกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉิน ปี๋อวิ่นเถา เต้าเจี๋ยนเซียว และมารดาพร้อมด้วยวิญญาณของแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นก็พร้อมใจกันเดินตรงไปสู่ทางเข้าสุสานกษัตริย์
แทบทุกคนตกลงกันแล้วตั้งแต่แรกว่าจะเข้าไปสำรวจสุสาน
มีเพียงมารดาของเจ้าอ้วนเท่านั้นที่ขอติดตามเข้ามาเป็นคนสุดท้ายในภายหลัง
วูบ!
เมื่อได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะสายลมดังขึ้น
บุคคลปริศนาในชุดเสื้อคลุมสีดำก็หายตัวไปในช่องว่างระหว่างม่านหมอกขาวเช่นกัน
คณะเดินทางส่วนที่เหลือก็ติดตามเข้าไปอย่างไม่รอช้า
พวกของหลินเป่ยเฉินเดินไปอย่างไม่รีบร้อน
เพราะพวกเขาได้รู้ข้อมูลที่ผู้อื่นไม่รู้
ตำนานสุสานกษัตริย์ถูกบันทึกไว้ในบทบันทึกประจำราชสำนัก ซึ่งถ่ายทอดส่งต่อกันมาในราชวงศ์เทียนหลางเซินจากรุ่นสู่รุ่น
การถอดความจากบทบันทึกได้ความว่า เจ้าของสุสานกษัตริย์ตัวจริงนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นยอดฝีมือหญิงนางหนึ่ง นางเกิดมาตาบอด ก่อนอายุยี่สิบสองปี นางเป็นเพียงนางรำที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก แต่ด้วยอาศัยการฝึกวิชาตามสายเลือดผู้คงกระพัน ความแข็งแกร่งของนางจึงเพิ่มพูนมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
นี่แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของนาง
ทำให้ผู้คนจำนวนมากตกตะลึง
ในบทบันทึกของทางราชสำนักกล่าวเอาไว้ว่าแม่นางผู้เป็นเจ้าของสุสานกษัตริย์แห่งนี้มีนามว่าเซี่ยเต๋อจี
แต่น่าเสียดายที่นางผิดหวังกับอะไรบางอย่างมากเกินไป สุดท้าย นางจึงสร้างสุสานให้แก่ตนเองและตั้งชื่อมันว่า ‘สุสานจันทรามิลืมเลือน’
เมื่อคณะสำรวจสุสานของหลินเป่ยเฉินเดินผ่านช่องว่างระหว่างม่านหมอกขาวเข้ามาได้สำเร็จ พวกเขาก็เห็นเสาหินใหญ่ยืนตระหง่านเรียงรายอย่างสวยงาม ป้ายศิลาหน้าทางเข้าจารึกตัวอักษรอ่านได้ความว่า ‘มิลืมเลือน’ นี่คือข้อความที่ถูกสลักด้วยลายมือและยังคงสะท้อนกับแสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับด้วยความเย็นชา ราวกับต้องการจะสื่อสารให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวของผู้เป็นเจ้าของสุสานอย่างไรอย่างนั้น
สุสานจันทรามิลืมเลือน
“ไม่ว่าจะเป็นในโลกนี้หรือโลกไหน ๆ ยิ่งคนเราอยากลืมเลือนมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งจดจำมากเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินรำพึงรำพันขึ้นมาในความเงียบ “นี่แสดงว่านางหาคนรู้ใจไม่ได้จริง ๆ สินะ เฮ้อ”
ปี๋อวิ่นเถา เต้าเจี๋ยนเซียวพร้อมด้วยมารดารวมไปถึงวิญญาณของแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นต่างก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเกิดความสงสัยในหัวใจ
หลินเป่ยเฉินกำลังพูดอะไรอยู่?
หลินเป่ยเฉินไม่ได้อธิบายอะไรอีก
เมื่อเดินผ่านเสาหินที่ติดป้ายมิลืมเลือนเข้าไปแล้ว พื้นที่ด้านในก็จะเป็นลักษณะของเนินดินที่เป็นหลุมศพจำนวนมาก และหลุมศพเหล่านั้นไม่ได้ถูกปิดปากหลุม ไม่มีผู้ใดมองเห็นก้นหลุม เพราะมีหมอกขาวลอยขึ้นมาเป็นกำแพงม่านหมอกอยู่ตลอดเวลา
สะพานแขวนถูกสร้างขึ้นเพื่อทอดข้ามหลุมศพเหล่านี้
เส้นเหล็กขึ้นสนิม แผ่นไม้กระดานผุพัง
กลุ่มคฤหาสน์ที่อยู่ห่างไกลออกไปยิ่งดูชำรุดทรุดโทรม
นับว่ากาลเวลาไม่เคยปรานีผู้ใดอย่างแท้จริง
เมื่อเดินผ่านสะพานแขวนไปเรียบร้อย พวกเขาก็มาถึงหน้าทางเข้ากลุ่มคฤหาสน์
“หลังจากนี้เราคงต้องแยกกันแล้ว”
มารดาของเจ้าอ้วนส่งเสียงขึ้นเป็นคนแรก
“ท่านแม่?”
เจ้าอ้วนร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
เกิดอะไรขึ้น?
นี่ไม่เหมือนที่คุยกันไว้เลยนี่นา
มารดาของเจ้าอ้วนมีสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจความตกตะลึงของบุตรชายและกล่าวต่อไปว่า “เซียนกระบี่หลิน ท่านตั้งใจเข้าสู่สุสานกษัตริย์เพื่อค้นหาสิ่งที่จะช่วยทะลวงขั้นพลังให้ท่านไม่ใช่หรือ? ข้าคิดว่าของสิ่งนี้น่าจะช่วยท่านได้ หากท่านเดินตามแผนที่นี้ไป ท่านก็จะต้องค้นพบมันอย่างแน่นอน”
กล่าวจบ หญิงชราก็ยื่นส่งแผนที่ออกมาฉบับหนึ่ง
“ขอบคุณมากขอรับ”
หลินเป่ยเฉินรับแผนที่ฉบับนั้นมาอย่างรวดเร็ว
“พวกเราจำเป็นต้องทำตามความปรารถนาครั้งสุดท้ายของพระบิดาให้ลุล่วง เพราะฉะนั้น เราจะเข้าสู่สุสานพร้อมกับราชครูหลินไม่ได้”
เมื่อมารดาของเจ้าอ้วนกล่าวจบ นางก็นำตัวบุตรชายพร้อมด้วยวิญญาณของแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นและปี๋อวิ่นเถาเดินเข้าสู่ส่วนลึกของกลุ่มคฤหาสน์ต่อไป
ดวงไฟที่ลอยเป็นกลุ่มก้อนอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาก่อนหน้านี้ลอยติดตามทั้งสี่คนไปหมดสิ้น บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเหลือเพียงดวงไฟที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของตนเองเพียงดวงเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นทั้งสี่คนหายลับไปจากสายตา หลินเป่ยเฉินก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “นี่เป็นพวกท่านมอบโอกาสนี้ให้ข้าเองนะ… อย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
ความจริง เขาก็ไม่ได้อยากทำตัวเป็นโจรปล้นสุสานหรอก
แต่ในเมื่อขณะนี้ หลินเป่ยเฉินสามารถออกสำรวจสุสานได้ทุกซอกทุกมุมโดยไม่มีผู้ใดติดตามแล้ว เขาก็มั่นใจว่าตนเองจะต้องพบเจอ ‘ของดี’ เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน!