เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1799 ราชวงศ์อี้จื่อ
ตอนที่ 1,799 ราชวงศ์อี้จื่อ
การคาดเดาของเด็กสาวนักปรุงยานั้นแม่นยำมาก
ครึ่งชั่วยามต่อมา
เต้าอู่หมิง เฉินปี้หยาง เต้าเจี๋ยนเซียวและคนอื่น ๆ ก็มาปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าคฤหาสน์ลู่หลิว
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้พบเจอเต้าอู่หมิงในตำนาน
คนผู้นี้เป็นจักรพรรดิที่ทำให้อาณาจักรซือเว่ยสร้างความยิ่งใหญ่ไปทั่วเส้นทางดาราจักร ตัวจริงของเต้าอู่หมิงไม่ได้มีร่างกายสูงใหญ่ลักษณะเป็นนักรบ แต่เขากลับมีร่างกายสูงโปร่ง ท่าทางสุภาพอ่อนโยน ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้ม ตาโต นับเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง
แต่บัดนี้ใบหน้าของเขาซีดขาว แววตาบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าและแก่ชรา…
ส่วนอาจารย์เฉินปี้หยางที่หลินเป่ยเฉินตามหาตัวมาเนิ่นนานนั้นเป็นชายชราที่สวมใส่เสื้อผ้าสามัญธรรมดา ใบหน้ามีเลือดสูบฉีดอย่างผู้ที่มีสุขภาพดี เห็นได้ชัดว่าร่างกายยังคงแข็งแรงและดูอ่อนวัยมากกว่าเต้าอู่หมิงหลายเท่า
เมื่อทุกคนพบหน้ากันก็ไม่มีการแนะนำตัวอย่างเป็นพิธีการใด ๆ ทั้งสิ้น
พวกเขาตรงเข้าประเด็นทันที
“เวลาเพียงไม่กี่วันในค่ายอาคม เท่ากับเวลานับปีในโลกแห่งความจริง”
เต้าอู่หมิงถอนหายใจด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนจะประสานมือเป็นกำปั้นและคำนับเด็กหนุ่ม “หากอาณาจักรซือเว่ยของข้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านราชครู ป่านนี้พวกเราก็คงลงหลุมกันไปหมดแล้ว สิ่งที่ท่านราชครูได้ทำลงไป นอกจากเป็นการช่วยเหลือราชสำนักของพวกเรา ยังเป็นการช่วยเหลือประชาชนอีกจำนวนมาก ข้าจึงอยากจะขอบคุณท่านราชครูจากใจจริง”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ เรามาคุยเรื่องสาระสำคัญกันดีกว่า ตกลงแล้วสถานการณ์ในขณะนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หลินเป่ยเฉินโบกมือตัดบทและกล่าวต่อ “นี่คือสิ่งที่กระหม่อมอยากรู้มากที่สุด”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่ามีแววตาร้อนผ่าวคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองมาที่เขาตลอดเวลา
เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวนักปรุงยากันแน่ แววตาที่นางมองเขาในขณะนี้มันไม่ถูกต้อง แววตาของนางไม่ได้มีความดูถูกดูแคลนอีกต่อไป มิหนำซ้ำ มันยังเป็นแววตาที่ดูจะลวนลามเขาอยู่พอสมควร ทำเอาหลินเป่ยเฉินไม่กล้าหันไปมองหน้านางแล้วด้วยซ้ำ
เต้าอู่หมิงนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด ก่อนจะสรุปเหตุการณ์ออกมาว่า “เมื่อหนึ่งปีก่อน ราชวงศ์อี้จื่อได้ส่งคณะทูตมาที่เมืองเทียนหลางซิงและบีบบังคับให้ข้ายอมจำนน รวมถึงบังคับให้อาณาจักรซือเว่ยยอมเข้าร่วมการขยายดินแดนของพวกเขา เพื่อรวบรวมอาณาจักรต่าง ๆ ในเส้นทางหวังซินให้กลายเป็นหนึ่งเดียว”
“ราชวงศ์อี้จื่อ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วนิ่วหน้าและถามต่อไปว่า “มีความยิ่งใหญ่ในระดับใด?”
“พวกเขาเป็นผู้ครอบครองห้าอาณาจักร ซึ่งประกอบไปด้วยอาณาจักรเซวี่ยหนู เทียวฮั่ว อี้อู่ หานเซียงและซือหลี่ เป็นราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในเส้นทางหวังซิน นับว่ามีรากฐานมั่นคงเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
หลิงเฉินเป็นผู้ให้คำตอบออกมา
แม้เต้าอู่หมิงจะไม่ทราบตัวตนของหลิงเฉิน แต่ดูจากการที่นางนั่งเคียงข้างกับหลินเป่ยเฉิน อดีตกษัตริย์ย่อมรู้ว่าเด็กสาวผู้นี้ต้องมีสถานะไม่ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงหันไปกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนน้อม “แม่นางกล่าวได้ถูกต้อง ราชวงศ์อี้จื่อเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องได้ กองทัพของพวกเขาเมื่อบุกโจมตีที่ใดแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นชะตากรรมความตายเด็ดขาด ดังนั้น ยามที่พวกเขาประกาศสงครามจึงน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำ ราชวงศ์อี้จื่อยังได้รับการสนับสนุนจากอสูรสายพันธุ์กายเขียวและสำนักม่วงมหากาฬของพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกด้วย…”
“ช้าก่อน ขอข้าใช้ความคิดสักครู่”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
“หึหึ คนโง่ ท่านไม่เข้าใจใช่หรือไม่?”
เด็กสาวนักปรุงยาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
นางกล่าวเหน็บแนมเขาด้วยความลืมตัวว่า “ในพื้นที่ดาราจักรแถบนี้ เราจะเรียกกันว่าเส้นทางหวังซิน ในเส้นทางนี้จะมีอยู่ด้วยกันสิบห้าอาณาจักร ซึ่งประกอบไปด้วยอาณาจักรเซวี่ยหนู เทียวฮั่ว อี้อู่ หานเซียง ซือหลี่ อี้เฟิง เฉิงกัว ม่อซา หนงอวี่ อานเหมี่ยน ฉงเฟิง ซือเว่ย ไป๋ซือ ลู่อวิ๋นและหงเฉียง”
“เมื่อสักครู่ ท่านคงได้ยินแล้วว่าราชวงศ์อี้จื่อสามารถครอบครองได้แล้วถึงห้าอาณาจักร ซึ่งก็คืออาณาจักรเซวี่ยหนู เทียวฮั่ว อี้อู่ หานเซียงและซือหลี่ ในส่วนของอาณาจักรอื่น ๆ ที่ยังเหลืออยู่ อาณาจักรอี้เฟิงและอาณาจักรม่อซาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจ ในขณะที่อาณาจักรหนงอวี่ อานเหมี่ยน ฉงเฟิงและเฉิงกัวนั้นเป็นอาณาเขตของพวกอสูร…”
“อะแฮ่ม”
เสี่ยวติงรีบส่งเสียงไอขัดจังหวะ
พี่สาว นิสัยเก่าท่านกำเริบอีกแล้ว…
ข้าให้ท่านบุกมาเพื่อทอดสะพานให้แก่พี่หลิน ไม่ใช่ให้ท่านบุกมาเหยียดหยามเหน็บแนมเขาต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้
เด็กสาวนักปรุงยาหันมามองหน้าน้องชายด้วยความประหลาดใจ สีหน้าและแววตาเกิดคำถามประมาณว่า ‘ข้าทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ?’
เสี่ยวติงยกมือกุมหน้าผาก
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจนางสักเท่าไหร่ เพราะเขากำลังทุ่มเทสมาธิอยู่ที่การวางแผนรับมือสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น
นี่นับว่าเป็นหายนะครั้งใหญ่อย่างแท้จริง เพื่อทำสงครามครอบครองอาณาจักร ราชวงศ์อี้จื่อถึงกับยอมร่วมมือกับพวกอสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจโดยไม่ลังเล…
ให้ตายเถอะ
นี่คงเรียกว่าเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้แล้ว
ราชวงศ์อี้จื่อมีเขตแดนปกครองอยู่ถึงห้าอาณาจักร ขุมกำลังก็ใช่ว่าจะต่ำต้อย เพียงประกาศทำสงครามธรรมดาก็แทบจะไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรได้แล้ว แต่นี่ยังไปร่วมมือกับพวกอสูรและปีศาจอีก นับว่าช่างน่าหงุดหงิดใจจริง ๆ
“ลำพังให้อาณาจักรซือเว่ยอยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขาน่ะ ข้ายังสามารถพอทำใจได้ พวกเรายังมีวิธีที่จะช่วยคุ้มครองดูแลประชาชนให้อยู่รอดปลอดภัย แต่สิ่งที่ทำให้ข้ายอมรับข้อเสนอไม่ได้ก็คือ ข้าได้รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของราชวงศ์อี้จื่อ นอกจากอาณาจักรซือเว่ยแล้ว พวกเขายังคิดที่จะครอบครองอาณาจักรไป๋จือ อาณาจักรหงเฉียง และอาณาจักรลู่อวิ๋นอีกด้วย ราชวงศ์อี้จื่อต้องการจะใช้ดินแดนของพวกเราก่อตั้งเป็นอาณาจักรใหม่ขึ้นมา โดยจะนำไปควบรวมกับดินแดนที่อยู่ในการปกครองของพวกอสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจ…”
“ด้วยเหตุนี้ ในพระราชสาส์นที่ข้าได้รับฉบับนั้น มันจึงระบุให้ข้ายอมรับอำนาจของพวกอสูรที่จะยกพลบุกมาที่อาณาจักรของเราเพื่อใช้ทรัพยากรทั้งหมด… บางที องค์จักรพรรดิของราชวงศ์อี้จื่อคนปัจจุบันคงเสียสติไปแล้ว”
เต้าอู่หมิงยังคงไม่อยากเชื่ออยู่ดีเมื่อบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา
หลินเป่ยเฉินรับฟังจบก็ต้องยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
เรื่องนี้ต้องจัดการอย่างระมัดระวังที่สุด
สรุปความโดยรวมก็คือ ราชวงศ์อี้จื่ออยากจะแบ่งแยกการปกครอง ก่อตั้งอาณาจักรใหม่ โดยเลือกที่จะทรยศต่อสภาศักดิ์สิทธิ์
แต่นี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดแล้วหรือ?
นี่ไม่เท่ากับเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตนเองหรืออย่างไร?
หลินเป่ยเฉินยังคงนิ่งเงียบใช้ความคิดต่อไป
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ หลิงเฉินและเสด็จลุงของนางก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียดมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทันใดนั้น ทหารยามผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาคุกเข่าข้างเดียวและรายงานว่า “กราบเรียนท่านแม่ทัพ… และผู้สูงส่งทุกท่าน มีคนผู้หนึ่งอ้างตัวว่าเป็นทูตจากราชวงศ์อี้จื่อมารออยู่ด้านนอก และขอให้ทุกคนออกไปเพื่อรับพระราชสาส์นขอรับ”
หืม?
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาทันทีเลยแฮะ!