เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1802 ส่งกลับบ้าน
ตอนที่ 1,802 ส่งกลับบ้าน
ชายวัยกลางคนสองท่านนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่
พวกเขานั่งอยู่คนละมุมห้อง
สีหน้าของเต้าอู่หมิงค่อนข้างผ่อนคลายและมีความเรียบเฉย
เต้าอู่หมิงอดสงสัยไม่ได้ว่าชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตนเองนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ เพียงกวาดตามองแค่วูบเดียว ก็รู้แล้วว่าคงมีสถานะไม่ธรรมดา เต้าอู่หมิงครอบครองบัลลังก์แห่งอาณาจักรซือเว่ยมาเนิ่นนานหลายปี แต่เขาก็ยังเทียบรัศมีของชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้
ในเวลาเดียวกันนี้ แม้สีหน้าขององค์ชายหลิงจะนิ่งเฉยเช่นกัน แต่ในหัวใจนั้นรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง
การรับมือกับคณะทูตจากราชวงศ์อี้จื่อ นับเป็นภารกิจที่ไม่ง่ายเลยสำหรับเต้าเจี๋ยนเซียวกับหลินเป่ยเฉิน
ฝ่ายตรงข้ามมีอำนาจล้นฟ้าถึงเพียงนั้น
ครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เต้าเจี๋ยนเซียวกับหลินเป่ยเฉินก็คงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับข้อเสนอของอีกฝ่ายเท่านั้น
ตราบใดที่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ประชากรหลายร้อยล้านคนของอาณาจักรซือเว่ยได้ การกล้ำกลืนโทสะเพียงเล็กน้อย ก็ไม่ถือเป็นเรื่องเสียหายอันใดเลย
“เฮ้อ น่าสงสารท่านราชครูหลินจริง ๆ ที่ต้องออกไปรับมือกับกลุ่มคนชั่วร้ายเช่นนั้น…” มารดาของเจ้าอ้วนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นี้ หลินเป่ยเฉินกับเต้าเจี๋ยนเซียวก็เดินกลับเข้ามาพอดี
“หืม? คณะทูตไปที่ใดแล้ว? พวกท่านตกลงกันได้แล้วหรือ?”
เต้าอู่หมิงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ส่งกลับบ้านไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเป่ยเฉินเดินมานั่งจิบน้ำชาด้วยความสบายอารมณ์ “การเจรจาผ่านพ้นไปด้วยดี”
“ส่งกลับบ้านไปแล้ว?”
เต้าอู่หมิงหยุดชะงักด้วยความตกตะลึงและถามออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “ท่านราชครูรับข้อเสนอของพวกเขาหรือ? ไม่ทราบว่าพวกเขาให้ข้อเสนออะไรบ้าง?”
หากไม่ใช่เพราะว่าหลินเป่ยเฉินยอมรับข้อเสนอจากราชวงศ์อี้จื่อ คณะทูตก็คงไม่ยอมกลับไปง่าย ๆ แน่นอน
“พวกเขาให้ข้อเสนอที่เลวร้ายมากเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเป่ยเฉินบอกเล่าถึงเนื้อหาที่อยู่ในพระราชสาส์น ก่อนกล่าวต่อ “แล้วพวกเราจะยอมรับข้อเสนอเช่นนั้นได้อย่างไร? ข้าเพียงส่งพวกเขากลับบ้าน เป็นการเดินทางที่ไม่ต้องใช้พาหนะ แต่ก็สามารถกลับบ้านได้เช่นกัน”
สีหน้าของเต้าอู่หมิงแปรเปลี่ยนไปทันที
เขาหันกลับมามองหน้าบุตรชายของตนเอง
เต้าเจี๋ยนเซียวพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจังและตอบรับว่า “พะ … พะ… พวกเขา… ตะ… ตายหมดแล้ว… พ่ะย่ะค่ะ”
เต้าอู่หมิงตัวสั่นเทาและได้แต่สูดหายใจลึก
มีหลายร้อยพันถ้อยคำที่เขาอยากจะกล่าวออกมา แต่ชายวัยกลางคนไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรเริ่มที่จุดใด
ผ่านไปเนิ่นนาน เต้าอู่หมิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะยิ่งดังมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ฮ่า ๆๆ ประเสริฐ ประเสริฐมาก นับว่าเป็นลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือร้ายที่แท้จริง”
เต้าอู่หมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “บางทีท่านอาจจะทำถูกต้องแล้ว ยอมสู้จนตัวตาย ดีกว่ายอมหลีกหนีเช่นคนขลาดอย่างข้า บัดนี้ อาณาจักรซือเว่ยอยู่ในกำมือของท่านแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่าน ไม่ว่าท่านราชครูคิดทำสิ่งใด ข้าก็พร้อมที่จะสนับสนุนทั้งสิ้น”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าเต้าอู่หมิงด้วยความเหลือเชื่อ
“กะ…” เขากลืนน้ำลายและกล่าว “กระหม่อมไม่ได้คิดเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เรียกว่ากระหม่อมไม่ได้คิดอะไรเลยดีกว่า กระหม่อมเพียงปล่อยให้พวกเขามีชีวิตรอดกลับไปไม่ได้เท่านั้น”
สีหน้าที่มุ่งมั่นและภาคภูมิใจสลายหายไปจากใบหน้าของเต้าอู่หมิงทันที
“แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม นี่คือการกระทำที่เหมาะสมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบใช้ความคิด “ข้าค้นพบพระราชสาส์นอีกหลายฉบับจากตัวของหัวหน้าคณะทูต ทุกฉบับต่างก็แสดงเจตนายึดครองอาณาจักรซือเว่ย อาณาจักรไป๋จือ อาณาจักรลู่อวิ๋น และอาณาจักรหงเฉียง พระราชสาส์นทุกฉบับลงนามโดยองค์ชายผู้มีนามว่าซีอู๋… และผู้สำเร็จราชการแผ่นดินที่จะมาปกครองอาณาจักรซือเว่ยแทนเขา ก็คือตัวแทนจากสำนักม่วงมหากาฬแห่งนิกายซื่อเซ่อหมัวของเผ่าพันธุ์ปีศาจ คนผู้นั้นมีนามว่าหลี่อี้สวิ่น… และพวกเขาย่อมยกกองทัพมาเป็นจำนวนมาก กระหม่อมไม่ทราบเลยว่าพวกเราจะมีเวลาเตรียมตัวรับมือทันหรือไม่”
หลินเป่ยเฉินรู้ซึ้งถึงวิกฤตการณ์ในครั้งนี้อย่างชัดเจน
นี่คือหายนะใหญ่หลวง
แต่หากรับมือให้ดี เขาอาจจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสอันดีงามก็เป็นได้
เจ้าเด็กผู้นี้จะต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ
เต้าอู่หมิงลงความเห็นอยู่ในใจ
เขาคิดว่าหากเปลี่ยนเป็นตนเองไปแทนที่หลินเป่ยเฉิน เขาคงไม่กล้าสังหารหัวหน้าคณะทูตอย่างเด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินมีความกลัวบ้างหรือไม่?
หรือว่าหลินเป่ยเฉินไม่เคยรู้จักความกลัว?
การประชุมจบสิ้นลงอย่างรวดเร็ว
เต้าอู่หมิงเดินทางกลับวังหลวงไปพร้อมกับบุตรชาย
ไม่นาน รองผู้บังคับการหน้าหยกหวังจงก็ทำงานเสร็จสิ้นและนำตัวเซียวปิง หลงหน่าและโจวเทียนอวิ๋นมาที่คฤหาสน์ลู่หลิว
“พี่ใหญ่”
“น้องปิง”
สองพี่น้องกระโดดกอดกันกลมด้วยความตื่นเต้น
หลินเป่ยเฉินบีบกล้ามเนื้อบนหน้าอกของเซียวปิงพร้อมกับกล่าวว่า “ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้วนะเนี่ย”
เซียวปิงตอบว่า “ไม่นานมานี้ ข้าค้นพบไส้กรอกที่วิเศษมากเลยขอรับ นอกจากอร่อยแล้ว มันยังเสริมพลังปราณอีกด้วย”
พูดจบ เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ควักไส้กรอกดุ้นหนึ่งออกมาจากเป้ากางเกงของตน… ปรากฏว่ากระเป๋าเก็บความร้อนของเซียวปิงอยู่ตรงนั้นในกางเกงพอดี
มันเป็นลักษณะไส้กรอกแดงที่มีกลิ่นหอมและผ่านการนึ่งมาแล้ว
“ไส้กรอกหนึ่งชิ้นให้พลังงานได้เท่ากับน่องไก่พันน่องเลยขอรับ”
เซียวปิงบรรยายสรรพคุณด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่ ลองรับประทานดูเถอะ”
หลินเป่ยเฉินรับมาลองกัดไปได้สองคำ รสชาติของเนื้อไส้กรอกก็ตลบอบอวลไปทั่วปาก ตอนแรกรสชาติมีความขม แต่ไม่นานก็กลับกลายเป็นความหวานหอม นอกจากมีรสชาติที่อร่อย ยังบังเกิดมวลพลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอีกด้วย
สงสัยคงต้องเก็บเอาไว้เป็นของกินเล่นซะแล้ว
“อร่อยมาก”
เมื่อเห็นแววตาคาดหวังของน้องชายร่วมสาบาน หลินเป่ยเฉินจึงมอบคำตอบที่อีกฝ่ายต้องการให้ทันที หลังจากนั้นถึงได้ค่อยกลับมาเข้าประเด็นสำคัญ “น้องปิง เจ้ากำลังปิดบังอะไรข้าอยู่ใช่หรือไม่? อยู่ดี ๆ ทำไมขั้นพลังของเจ้าถึงเลื่อนระดับขึ้นมารวดเร็วเพียงนี้?”
“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ขอรับ พี่ใหญ่”
เซียวปิงตอบ “ก่อนหน้านี้ ข้าพบว่าตนเองรู้สึกหิวง่ายมาก ข้ามักจะหิวอยู่ตลอดเวลา ในภายหลัง ข้าจึงได้รู้ว่าอาหารที่ข้ารับประทานเข้าไปนั้นกลายเป็นพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ดังนั้น ข้าจึงรับประทานน่องไก่ย่างอย่างไม่ลืมหูลืมตา”
“ถ้าอย่างนั้น…”
หลินเป่ยเฉินสำรวจมองร่างกายของเด็กหนุ่มร่างอ้วนอีกครั้ง
เซียวปิงชูไส้กรอกแดงในมือขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “ต้องขอบคุณไส้กรอกวิเศษชนิดนี้แหละขอรับ มันจึงทำให้ข้ามีพลังปราณมากกว่าเดิมนับพันเท่า”
พลังปราณมากกว่าเดิมนับพันเท่า?
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ
ก่อนหน้านี้ เซียวปิงก็มีร่างกายแข็งแกร่งอยู่แล้ว บัดนี้ ยังจะมีพลังปราณสูงส่งอีก
ความแข็งแกร่งระดับนี้ น่าจะสู้กับพวกจอมเทพจักราได้แล้วกระมัง?
หากเป็นตัวละครในเกม เซียวปิงก็ต้องเป็นตัวที่ติดบั๊กแล้วจริง ๆ