เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1804 กลับถิ่นเก่า
ตอนที่ 1,804 กลับถิ่นเก่า
ดวงตาของชายชราร้อนผ่าว เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าความคิดของหลานสาวตนเองนั้นมีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง
และนี่ก็ทำให้อาจารย์เฉินปี้หยางปวดหัวยิ่งนัก
ทว่า เขาเองก็ไม่มีทางเลือก
มีเด็กสาวผู้ใดบ้างที่จะไม่หลงรักหนุ่มรูปงามผู้แข็งแกร่งและทรงพลังเช่นนี้?
เมื่องานเลี้ยงเลิกรา หลินเป่ยเฉินก็มีอาการมึนเมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เขายังคงเดินมาส่งพวกของเฉินปี้หยางและหลาน ๆ อย่างมีมารยาท รวมถึงเจรจาต่อรองเรื่องการหลอมโอสถอีกด้วย
“ผู้อาวุโสขอรับ คือว่ามีสหายของข้าน้อยผู้หนึ่งชื่นชอบการหลอมโอสถเป็นอย่างยิ่ง โชคร้ายที่เขายังไม่ได้มาพบเจอผู้อาวุโส ดังนั้นข้าจึงอยากจะสอบถามผู้อาวุโสว่า ท่านพอจะรับสหายของข้าเป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินกำลังกล่าวถึงอานมู่ซี นักหลอมโอสถคู่ใจของเขาที่ยังไม่ได้ฟื้นคืนชีพกลับมา แต่เขาก็วางแผนเอาไว้ให้อานมู่ซีเรียบร้อยแล้ว
ตอนที่อยู่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ อานมู่ซีแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ด้านการปรุงยา หากสามารถชุบชีวิตอานมู่ซีให้ฟื้นคืนกลับมา หลินเป่ยเฉินก็ตั้งใจจะนำนักหลอมโอสถผู้นี้เดินทางผ่านประตูมิติมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของเฉินปี้หยาง เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะเปิดสำนักโอสถเป็นของตนเอง ยังจะมีแผนการใดดีมากไปกว่านี้อีกหรือ?
หลินเป่ยเฉินมีนิสัยเช่นนี้เอง
เขาไม่เคยทอดทิ้งมิตรสหาย
โดยเฉพาะอานมู่ซีผู้เคยตกระกำลำบากมาด้วยกัน เขาย่อมไม่มีทางทอดทิ้งกันอยู่แล้ว
“เราผู้เฒ่าหยุดรับลูกศิษย์มานานแล้ว”
เฉินปี้หยางหัวเราะเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “แต่ในเมื่อนี่เป็นการขอร้องของท่านราชครู แล้วเราผู้เฒ่าจะปฏิเสธได้อย่างไร? ท่านราชครูพาตัวสหายมาได้เลย เราผู้เฒ่ายินดีรับเขาเป็นลูกศิษย์…”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ฉีกยิ้มด้วยความดีใจและรู้สึกหัวใจพองโตยิ่งนัก
เห็นไหมล่ะ?
การเป็นคนที่มีอำนาจมันก็ดีเช่นนี้เอง
สิ่งนี้เรียกว่าอะไร?
สิ่งนี้เรียกว่าความรักและหลักการของมนุษย์
ซึ่งนำมาถึงความสุข
เฉินปี้หยางจ้องมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินที่เดินกลับไปก่อนจะถอนหายใจออกมา
ทำไมเขาถึงยอมรับลูกศิษย์คนใหม่อย่างนั้นหรือ?
ยังจะมีเหตุผลได้อีก หากไม่ได้เป็นเพราะหลานสาวของเขา
แน่นอนว่านี่ไม่เกี่ยวกับที่หลานสาวของเขาตกหลุมรักหลินเป่ยเฉิน แต่นี่เกี่ยวกับความปลอดภัยของนางต่างหาก
อาณาจักรซือเว่ยกำลังจะเกิดความวุ่นวายในไม่ช้า สงครามคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
นกน้อยจำเป็นต้องมีรัง
ไม่มีผู้ใดทราบว่าราชสำนักจะสามารถคงอยู่ได้ไปอีกนานเพียงใด
และสำหรับนักปรุงยาอย่างเฉินปี้หยาง การเอาชีวิตรอดก็ถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก... โดยเฉพาะกับหลานสาวที่มีหน้าตางดงามเกินหญิงธรรมดา หากตกไปอยู่ในกำมือของพวกอสูรหรือปีศาจ ก็นับว่าเป็นชะตากรรมที่เศร้าโศกแล้ว…
เฉินปี้หยางมองออกว่ากลุ่มคนของหลินเป่ยเฉินไม่ธรรมดา
แม้แต่องค์จักรพรรดิเต้าเจี๋ยนเซียวก็ยังเป็นหนึ่งในนั้น
และไม่ใช่สมาชิกคนสำคัญเสียด้วย
เฉินปี้หยางคิดว่าหากตนเองเป็นคนสำคัญในกลุ่มกำลังพลของหลินเป่ยเฉิน ความปลอดภัยของตนเองและหลานสาวก็จะมีมากขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่เฉินปี้หยางยอมรับลูกศิษย์
เพียงเท่านี้ก็ไม่มีสิ่งใดให้เป็นกังวลอีกแล้ว
“เอาล่ะ พวกเรากลับไปดูอาการบาดเจ็บของเฟิงเสี่ยวไป๋กับฉินโมเหยียนกันดีกว่า”
ชายชราพาหลานทั้งสองไปรักษาผู้บาดเจ็บที่กำลังสลบไสลไม่ได้สติ
เท่าที่เขาได้รับทราบข้อมูลมา ผู้บาดเจ็บทั้งสองคนนี้เป็นคนสำคัญสำหรับหลินเป่ยเฉิน เพราะฉะนั้น เฉินปี้หยางจึงให้การดูแลเป็นอย่างดี
…
“ทุกคนพร้อมกันแล้วนะ?”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาถามเพื่อความมั่นใจ
หวังจง เซียวปิง หลงหน่าและหลิงเฉินพยักหน้า
“ถ้างั้นก็… ไปกันเลย”
หลินเป่ยเฉินเปิดประตูมิติอย่างไม่รอช้า
แสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับ
แล้วทุกคนก็หายตัวไปในอากาศ
พริบตาต่อมา กลุ่มคนก็มาปรากฏตัวขึ้นในเมืองหยุนเมิ่ง ณ จักรวรรดิเป่ยไห่ แผ่นดินตงเต้า
ท้องฟ้าสีคราม
ก้อนเมฆสีขาว
อากาศสดชื่น ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 เป็นศูนย์
ชาวเมืองเดินตามท้องถนนอย่างมีชีวิตชีวา
คนกลุ่มนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ก่อนหน้า เมื่อม่านพลังปิดผนึกกาลเวลาสลายลงไป พวกเขาก็สามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้โดยไม่ต้องอาศัยโอสถคืนวิญญาณ
และด้วยการป่าวประกาศจากคณะบริหารเมืองของฉุยเฮาเฟิง หลิงจุนเซวียนและคนอื่น ๆ ชาวเมืองจึงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขายอมรับการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่และเริ่มต้นการดำรงชีพอีกครั้ง
นี่ทำให้เมืองหยุนเมิ่งมีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าไม่เคยเกิดเหตุร้ายใด ๆ มาก่อน
ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงสวยงามดังเดิม
หลิงเฉินยกมือปิดปาก ดวงตามีน้ำตาคลอเต็มเบ้า
เมืองแห่งนี้คือสถานที่ซึ่งนางเติบโตขึ้นมา เมืองแห่งนี้เป็นเหมือนบ้านเกิดเมืองนอนที่นางนอนหลับฝันถึงหลายครั้งนับตั้งแต่เดินทางข้ามมิติไปสู่เส้นทางดาราจักร
หลิงเฉินไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตนเองจะได้กลับมาที่นี่อีก
เซียวปิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
ความรู้สึกอันหลากหลายปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างอ้วน และในที่สุด เขาก็จ้องมองไปยังทิศทางของจวนตระกูลเซียว
หลงหน่าไม่ได้รู้สึกผูกพันกับเมืองหยุนเมิ่ง แต่เมื่อได้กลับมาอยู่ในแผ่นดินตงเต้าอีกครั้ง สีหน้าของนางก็แสดงออกถึงความตื่นเต้น
หวังจงอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “นี่ดูเหมือนโลกในความฝันเลยขอรับ”
“พี่หลิน นี่คือความฝันใช่หรือไม่?”
หลิงเฉินหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน “หรือนี่เป็นค่ายอาคมภาพมายาที่ท่านสร้างขึ้นมา?”
“เจ้าไปดูเอาเองเถอะ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “ที่จวนตระกูลหลิง มีใครบางคนกำลังรอเจ้าอยู่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินก็พุ่งร่างเป็นลำแสง มุ่งหน้าตรงไปยังจวนตระกูลหลิงโดยเร็ว
“ข้าก็อยากกลับไปดูที่บ้านเหมือนกันขอรับ”
เซียวปิงรีบวิ่งกลับไปยังจวนตระกูลเซียว เพื่อไปหามารดาของตน
“บ่าวก็อยากกลับไปสำรวจดูตำหนักไม้ไผ่ที่สถานศึกษากระบี่ที่สามเช่นกันขอรับ” หวังจงกล่าว “ที่นั่นคือสถานที่แห่งความสุขมากที่สุดในชีวิตของบ่าว มันเป็นสถานที่ซึ่งทำให้บ่าวได้รู้จักคำว่าแสงสว่างและความหวัง”
หลินเป่ยเฉินแอบสงสัยอยู่ว่าหวังจงเพียงใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อไปกระทำเรื่องราวบางอย่าง แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก จึงปล่อยให้พ่อบ้านชราแยกตัวจากไป
ใช่แล้ว
ที่นี่ไม่ได้ต่างไปจากโลกแห่งความฝัน
ตอนที่ได้อยู่ที่นี่ หลินเป่ยเฉินไม่เคยเห็นถึงคุณค่าของดินแดนแห่งนี้เลย ในหัวใจของเขาเอาแต่คิดถึงเรื่องการเดินทางกลับโลกมนุษย์ใบเก่าอยู่ตลอดเวลา
บัดนี้ เมื่อได้กลับมาอยู่ที่เมืองหยุนเมิ่งอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกตื่นเต้นจนเกินอธิบาย
นี่สินะที่เรียกกันว่าทำหายแล้วได้คืนจึงจะรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริง?
ดูหลิงเฉินกับเซียวปิงเป็นตัวอย่างเอาก็ได้
ด้วยขั้นพลังในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉิน เขาจึงสามารถฟื้นฟูตัวเมืองกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์
นี่คือความสามารถของผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิ
หากเขาได้ขึ้นสู่ขั้นจอมเทพจักราเมื่อไหร่ หลินเป่ยเฉินก็จะมีความสามารถฟื้นฟูได้ทั้งแผ่นดิน
ตามทฤษฎี เมื่อวันใดวันหนึ่งข้างหน้าที่หลินเป่ยเฉินสามารถเลื่อนขั้นเป็นจอมเทพจักราได้สำเร็จ เขาก็จะสามารถฟื้นฟูแผ่นดินตงเต้าให้กลายเป็นอาณาเขตของตนเองได้ทั้งหมด
สิ่งต่อไปที่ต้องทำก็คือนำตัวพวกของฉุยเฮาเฟิง หลิงจุนเซวียน หลิงไท่ซวี และคนอื่น ๆ ที่ฟื้นคืนชีพกลับมาแล้วให้ไปอยู่ในสุสานกษัตริย์โดยเร็ว เพื่อให้ร่างกายปรับตัวสำหรับโลกในเส้นทางดาราจักร เช่นเดียวกับการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งเพื่อเข้าร่วมกับ ‘กองทัพเซียนกระบี่’
เพราะคนกลุ่มนี้จะเป็นรากฐานสำคัญในความแข็งแกร่งของ ‘กองทัพเซียนกระบี่’ ต่อไป!