เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1814 ปกป้องคนผิด
ตอนที่ 1,814 ปกป้องคนผิด
พวกอสุรกายเขียวจ้องมองเหล่านางรำไม่วางตา แววตาของพวกมันไม่ปิดบังถึงความหื่นกระหายเลยสักนิด พวกมันบางตัวถึงกับลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินเข้าไปเกี้ยวพาราสีนางรำด้วยซ้ำ…
แม้ว่านางรำเหล่านั้นต่างก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ พวกนางก็ยังอดกรีดร้องออกมาไม่ได้เมื่อเผชิญหน้าการลวนลามจากอสูรก็อบลินเหล่านี้
ดวงตาของหลี่อี้สวิ่นเป็นประกายด้วยจิตสังหารขึ้นมาทันที
ทันใดนั้น…
“ฮ่า ๆๆ ข้าได้ยินมานานแล้วว่าแม่ทัพหลี่เป็นยอดหญิงงามแห่งสำนักม่วงมหากาฬ วันนี้มีโอกาสได้พบเจอตัวจริง ต้องบอกว่าท่านแม่ทัพมีความสวยสมคำเล่าลือ ความสวยของท่านนั้นเพียงพอที่จะทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวโดยไม่ต้องอาศัยดวงดาวเลยแม้แต่น้อย” อสุรกายเขียวผู้เป็นหัวหน้าคณะทูตมีร่างกายที่สูงใหญ่มากกว่ามนุษย์ถึงสองเท่า ดวงตาเป็นประกายหยาดเยิ้ม เสียงหัวเราะดังกังวานปานฟ้าผ่า
หัวหน้าคณะทูตอสูรใช้สายตาลวนลามเรือนร่างของแม่ทัพหลี่อี้สวิ่นโดยไม่ปิดบังพร้อมกับกล่าวว่า “และข้าก็ได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพหลี่แต่งตั้งกลุ่มองครักษ์ขึ้นมาเพื่อปรนเปรอตนเอง มนุษย์ที่ต่ำต้อยเหล่านั้นจะไปคู่ควรกับท่านแม่ทัพได้อย่างไร? ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพสนใจจะมาลองร่วมสนุกเริงรักกับเผ่าพันธุ์อสูรดูบ้างหรือไม่?”
หลี่อี้สวิ่นขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
ที่ปรึกษาเยว่ชิงอานกล่าวขึ้นว่า “ท่านทูตดื่มมากเกินไปแล้ว พวกเราอย่าเพิ่งประชุมกันเลย งานเลี้ยงในวันนี้จบเพียงเท่านี้เถอะ”
“ฮ่า ๆๆ ข้าเพิ่งดื่มไปเพียงไม่กี่จอกเท่านั้น แม่ทัพหลี่ ท่านไม่คิดอยากจะลองเสพรสสวาทกับอสูรดูบ้างหรือ? รับรองเลยว่าได้ลองเพียงครั้งเดียว แล้วท่านจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต” หัวหน้าคณะทูตอสูรกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำช้ามากขึ้น
ดวงตาของเยว่ชิงอานเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยจิตสังหาร
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เพราะเยว่ชิงอานทราบดีว่าแม่ทัพหลี่เป็นคนที่ชอบจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตนเองและนางไม่ชอบให้ใครมาตัดสินใจแทนตนเอง
ในเวลาเช่นนี้ หลี่อี้สวิ่นมักจะลงมือแก้ไขปัญหาเองเสมอ
นางจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดมากำหนดชีวิตของตนเอง
หลังจากรับใช้มาเนิ่นนานหลายปี เยว่ชิงอานก็มั่นใจว่าตนเองรู้จักแม่ทัพหญิงผู้นี้เป็นอย่างดี
สมาชิกระดับสูงของสำนักม่วงมหากาฬคนอื่น ๆ เมื่อเห็นว่าเยว่ชิงอานไม่พูดอะไร พวกเขาก็พากันนิ่งเงียบ
กลุ่มองครักษ์หน้าใหม่ยิ่งไม่กล้าเคลื่อนไหว
หลี่อี้สวิ่นสูดหายใจลึก ๆ
กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา…
แต่ทันใดนั้น…
“บัดซบ ไม่ทราบว่าสิ่งที่เจ้าใช้พ่นวาจาออกมาเป็นปากหรือว่ารูทวารกันแน่?”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นชี้หน้าหัวหน้าคณะทูต ร้องคำรามว่า “สิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการผิดพลาดอย่างพวกเจ้า กล้าดีอย่างไรมาพูดจาเช่นนี้ใส่นายท่านของข้า?”
งานเลี้ยงต้อนรับตกอยู่ในความเงียบทันที
เสียงคำรามของหลินเป่ยเฉินดังก้องกังวาน
ตัวแทนจากสำนักม่วงมหากาฬมองหน้ากัน
เยว่ชิงอานหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึง
เจ้าหมอนี่…
เสียสติไปแล้วหรือ?
ฮ่าวไต๋คิดอะไรอยู่?
การประชุมในครั้งนี้มีขึ้นเพื่อสานสัมพันธไมตรีระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ แล้วเจ้าเด็กคนนี้กล้าพูดจาทำลายสันติภาพได้อย่างไร?
ในกลุ่มองครักษ์หน้าใหม่ ฉู่ซินค่อย ๆ ก้มศีรษะลงเพราะกลัวว่าตนเองจะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ประเสริฐ!
ฮ่าวไต๋รนหาที่ตายให้แก่ตัวเองอีกแล้ว
บัดนี้ แม่ทัพหลี่อารมณ์ไม่ดี นางไม่มีทางปล่อยผ่านเหตุการณ์นี้ไปเด็ดขาด ฮ่าวไต๋จะต้องตามรอยเท้าเหลียงอี้กวนถูกส่งตัวไปที่ค่ายทหารชั้นเลวอย่างแน่นอน
เป็นเพียงหัวหน้าองครักษ์ต่ำต้อย กล้าดีอย่างไรถึงส่งเสียงพูดขึ้นมาในสถานการณ์เช่นนี้?
นี่คือความผิดพลาดถึงตาย
เมื่อไม่มีฮ่าวไต๋สักคน ฉู่ซินก็มั่นใจว่าตนเองเป็นบุรุษผู้หล่อเหลาเป็นอันดับสองในหน่วยองครักษ์ และอีกไม่นาน เขาก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าองครักษ์คนใหม่
หัวหน้าคณะทูตอสูรกะพริบตาปริบ ๆ มันนั่งอยู่บนเก้าอี้ จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัย
ต้องใช้เวลาหลายลมหายใจทีเดียวกว่าที่มันจะรู้ตัวว่า คนที่หลินเป่ยเฉินกำลังก่นด่าอยู่นั้นก็คือตัวมันเอง
แม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักม่วงมหากาฬก็ยังต้องแสดงความเคารพให้กับมัน
แล้วหัวหน้าหน่วยองครักษ์ผู้นี้ กล้าพูดจาหยาบคายเช่นนี้กับมันได้อย่างไร?
นับว่าให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด
“พวกเรา”
หัวหน้าคณะทูตโบกมือออกคำสั่งด้วยความโกรธแค้น “ฆ่ามัน”
นักรบอสุรกายเขียวสองตัวที่ถือถ้วยสุราอยู่ในมือ พุ่งร่างเป็นลำแสงสีเขียวตรงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน
หลี่อี้สวิ่นมีสีหน้าเคร่งเครียด รีบยกมือขึ้นโบกสะบัด
คลื่นพลังที่มองไม่เห็นแผ่กระจาย
เกิดการระเบิดขึ้นสองครั้ง
แล้วนักรบอสูรทั้งสองตัวก็ลอยกระเด็นกลับไปกระแทกพื้นอย่างรุนแรงไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีก
“หลี่อี้สวิ่น นี่หมายความว่าอย่างไร?”
หัวหน้าคณะทูตอสูรลุกขึ้นยืน สีหน้าบอกชัดถึงความเดือดดาล “นี่เจ้ากำลังปกป้องคนผิดอยู่หรือ?”
หลี่อี้สวิ่นไม่ตอบรับคำใด นางหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและตวาดว่า “ยังไม่รีบขอโทษท่านหัวหน้าคณะทูตอีก?”
ความจริงนั้น นางไม่ควรทำเช่นนี้เลย แม้ฮ่าวไต๋จะเป็นบุรุษที่หล่อเหลายากพบพาน แต่เขาก็เป็นเพียงหัวหน้าองครักษ์ต่ำต้อย สามารถส่งไปตายเมื่อไหร่ก็ได้
แต่บัดนี้ แม้แต่หลี่อี้สวิ่นก็ยังแปลกใจตัวเองเช่นกัน นางกลับลงมือช่วยเหลือเขาโดยไม่ลังเล
บางที…
อาจเป็นเพราะผ้าห่มผืนนั้นที่ถูกคลี่คลุมให้กับนางในห้องนอนเมื่อเช้านี้กระมัง?
“ในฐานะหัวหน้าองครักษ์ หน้าที่ของข้าคือการปกป้องศักดิ์ศรีของนายท่าน ข้าน้อยทนเห็นตัวอัปลักษณ์พวกนี้พูดจาหยาบคายใส่นายท่านไม่ได้หรอกขอรับ” หลินเป่ยเฉินเดินออกมาข้างหน้าและยืนหยัดด้วยความดื้อรั้น
เขาเชิดหน้าขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นว่า “ให้ขอโทษตัวประหลาดที่น่าเกลียดยิ่งกว่าหมูป่าพวกนี้หรือขอรับ? ข้าน้อยขอตายดีกว่า”
ออกมาสู้กันเลยสิวะ
รีบชักกระบี่ออกมาสู้กัน
หลินเป่ยเฉินรอคอยโอกาสที่จะได้สร้างผลงานไม่ไหวแล้ว
นี่ถือเป็นงานเลี้ยงครั้งใหญ่
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนได้มากมายแน่นอน
เพียงเท่านี้ เขาก็จะมีความดีความชอบ โดยที่ไม่ต้องเสียตัวให้แก่หลี่อี้สวิ่นแล้ว
หัวใจของเด็กหนุ่มพองโตอย่างมีความสุข
หลี่อี้สวิ่นหยุดชะงัก ในแววตาเป็นประกายแปลกประหลาด
คนอื่น ๆ ที่อยู่ในงานเลี้ยงก็ทำสิ่งใดไม่ถูกเช่นกัน
องครักษ์หนุ่มผู้นี้… มีความซื่อสัตย์จริง ๆ หรือกำลังเล่นละครตบตากันแน่?
หัวหน้าคณะทูตอสูรพ่นลมผ่านทางจมูกออกมาเป็นควันสีขาว
เห็นได้ชัดว่ามันโกรธแค้นมากที่ตนเองถูกดูถูกอย่างซึ่งหน้าต่อหน้าผู้คนเป็นจำนวนมาก
มันมองหน้าหลี่อี้สวิ่นและกล่าวเสียงแข็งกระด้าง “หากสำนักม่วงมหากาฬไม่มอบคำอธิบายให้แก่ข้า คณะทูตจากเผ่าอสุรกายเขียวก็จะเดินทางกลับโดยทันที แล้วสัญญาการเป็นพันธมิตรระหว่างสองเผ่าพันธุ์ก็จะถือเป็นอันโมฆะ… นี่ คิดหรือว่าพวกเราต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพวกท่านในการบุกโจมตีอาณาจักรซือเว่ย? พวกเราเองก็มีความสามารถเช่นกัน ไว้เจอกันในสนามรบเถอะ”
“ฮ่าวไต๋ อย่าทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ รีบขอโทษท่านหัวหน้าคณะทูตเร็วเข้า”
พลัน เยว่ชิงอานส่งเสียงกระซิบด้วยความร้อนรน