เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1815 เจ้าออกไปต่อสู้
ตอนที่ 1,815 เจ้าออกไปต่อสู้
“ท่านแม่ทัพ เราจะปล่อยองครักษ์ผู้นี้ไว้ไม่ได้อีกแล้ว”
“นี่คืองานประชุมครั้งสำคัญ องครักษ์ต่ำต้อยผู้หนึ่งถึงกับกล้าก่อเรื่องอาละวาด พวกเราส่งตัวเขาให้กับท่านหัวหน้าคณะทูตจัดการเองเถอะ”
“บุคคลที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ สมควรตายสถานเดียว”
ในห้องโถงใหญ่ ตัวแทนจากสำนักม่วงมหากาฬพากันลุกขึ้นยืนและส่งเสียงตะโกน
ครั้งนี้ พวกเขาจัดการประชุมขึ้นมาเพื่อสานไมตรีระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจ ดังนั้น การร่วมมือในครั้งนี้จึงไม่ควรต้องพังทลายลงไปเพราะองครักษ์เพียงผู้เดียว
“ฮ่า ๆๆ…”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าและระเบิดเสียงหัวเราะ
เป็นเสียงหัวเราะที่ชั่วร้าย
เป็นเสียงหัวเราะแห่งการเหยียดหยาม
เป็นเสียงหัวเราะแห่งการเย้ยหยัน
เสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มก้องกังวานไปทั่วห้องโถงใหญ่
“เจ้าหัวเราะอะไรไม่ทราบ?”
หลี่อี้สวิ่นมองไปที่หัวหน้ากลุ่มองครักษ์ของตนเองด้วยแววตาดุดัน
เขายังมีหน้าหัวเราะได้อีกหรือ?
หลังจากหัวเราะเสร็จสิ้น หลินเป่ยเฉินก็กล่าวต่ออย่างไม่สะทกสะท้านใด ๆ ว่า “ข้าคือองครักษ์ส่วนตัวของท่านแม่ทัพหลี่ ผู้เป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งสำนักม่วงมหากาฬ ตัวแทนร่วมสำนักที่เข้าร่วมการประชุมในวันนี้ ต่างก็ถือเป็นผู้อาวุโสที่เป็นสมาชิกระดับสูงของสำนักม่วงมหากาฬทั้งสิ้น แต่แทนที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของพวกเดียวกันเอง พวกท่านกลับพยายามประจบเอาใจอสูรอัปลักษณ์เหล่านี้… ช่างน่าขำ ช่างน่าขำเหลือเกิน ข้าขอถามพวกท่านหน่อยเถอะ ศักดิ์ศรีของสำนักม่วงมหากาฬอยู่ที่ใด?”
สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไปทันที
ดวงตาของหลี่อี้สวิ่นก็ปรากฏประกายระยิบระยับขึ้นมาวูบหนึ่ง
“เฮอะ เด็กน้อยผู้โอหัง เจ้ากำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว”
ผู้อาวุโสระดับสูงจากสำนักม่วงมหากาฬผู้หนึ่งลุกขึ้นยืนและตะโกนว่า “องครักษ์ต่ำต้อยอย่างเจ้า มีสิทธิ์อันใดมาทำตัวสั่งสอนผู้อื่น นี่เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด… พวกเรา จับตัวมันไปลงโทษ”
นายทหารในชุดเกราะสีแดงสองคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอกห้องโถงใหญ่เพื่อเข้ามาพาตัวหลินเป่ยเฉินออกไปรับการลงโทษ
“พวกเจ้าคิดว่าจะจับตัวข้าได้หรือ?”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกระแทกฝ่ามือซัดนายทหารทั้งสองคนลอยกระเด็นออกไปในอากาศ
เขาตัดสินใจที่จะลงมือเต็มรูปแบบ
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันไปยกมือชี้หน้าหัวหน้าคณะทูตจากเผ่าพันธุ์อสุรกายเขียว “เจ้าหมูโสโครก ไหนว่าเจ้ามีพลังอยู่ในขั้นจอมอสูรจักราไม่ใช่หรือ? เหตุไฉนถึงไม่กล้าออกมาสู้กับข้า?”
รีบ ๆ รับคำท้าเข้าเถอะ!
ข้าจะได้แสดงฝีมือสักที!!
โอกาสสร้างความดีความชอบมาถึงแล้ว
หัวหน้าคณะทูตอสูรหัวเราะเยาะเย้ยหยันและกล่าวว่า “มนุษย์ต่ำต้อยอย่างเจ้า เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงของหลี่อี้สวิ่น มีค่าอันใดให้ข้าลดตัวลงไปต่อสู้ด้วย?”
จากนั้น มันก็หันมามองที่หญิงสาวอีกครั้งและสำทับว่า “แม่ทัพหลี่ ท่านจะปล่อยให้องครักษ์ของตนเองอาละวาดเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือ? หรือว่าสำนักของท่านไม่มีปัญญาจัดการกับมันผู้นี้?”
“ใช่ เจ้าทั้งหยาบคายและโสมม มีค่าอันใดให้มาเกี้ยวพาราสีนางรำของพวกเรา?”
หลินเป่ยเฉินโพล่งขัดจังหวะขึ้นมากลางปล้อง “หากพวกเจ้ารู้จักผิดชอบชั่วดีจริง พวกเจ้าก็คงไม่ลวนลามนางรำกลางงานเลี้ยง หรือแม้แต่พูดจาดูถูกนายท่านของข้า…”
“หุบปาก”
ในที่สุด หลี่อี้สวิ่นก็คำรามออกมา
เมื่อตวาดใส่หลินเป่ยเฉิน แม่ทัพหลี่ก็หันกลับมากล่าวต่อหัวหน้าคณะทูตอสูรว่า “เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นหัวหน้ากลุ่มองครักษ์ผู้หล่อเหลา”
หัวหน้าคณะทูตหัวเราะในลำคอ พ่นลมผ่านทางจมูกฟืดฟาด
ดวงตาของมันจ้องมองใบหน้าหลี่อี้สวิ่นเขม็ง
หลี่อี้สวิ่นกล่าวต่อไปว่า “ท่านหัวหน้าคณะทูต การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นโดยราชวงศ์อี้จื่อและได้รับการเห็นชอบจากท่านเจ้าสำนักของข้า และหัวหน้าเผ่าของพวกท่าน หากท่านอยากจะยกเลิกการประชุมในครั้งนี้ งั้นก็ตามใจท่านเถอะ ข้าจะไม่ห้ามปรามท่านเลย”
สีหน้าของหัวหน้าคณะทูตอสูรแปรเปลี่ยนไป
เพราะว่า… มันไม่กล้ายกเลิกงานประชุมครั้งนี้จริง ๆ
ที่มันกล้าแสดงกิริยาก้าวร้าวก่อนหน้านี้ ก็เพื่อหวังจะข่มขวัญให้สำนักม่วงมหากาฬหวาดกลัวเท่านั้นเอง
หลี่อี้สวิ่นยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวต่อไป “หัวหน้าองครักษ์ของข้าเป็นนักรบผู้กล้าหาญและหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี เขาเพียงปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเองเท่านั้น… หากท่านคิดอยากจะยกเลิกการประชุม พวกเราก็ไม่มีสิ่งใดให้พูดคุยกันอีกแล้ว แต่ในเมื่อไหน ๆ พวกท่านก็มาถึงที่นี่ พวกเรามาประลองฝีมือกันหน่อยดีหรือไม่? ทางสำนักม่วงมหากาฬเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าเผ่าอสุรกายเขียวของพวกท่านจะแข็งแกร่งสมคำเล่าลือหรือไม่… ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าคณะทูตมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร?”
หัวหน้าคณะทูตอสูรสูดหายใจลึกและตอบว่า “ประเสริฐ งั้นพวกเรามาสู้กัน แต่ท่านต้องรับปากก่อนว่า หากสู้กันถึงตายก็จะไม่มีการกล่าวโทษกันในภายหลัง”
“ย่อมได้”
หลี่อี้สวิ่นยิ้มออกมาเล็กน้อย “งั้นพวกเราจะส่งตัวแทนออกไปต่อสู้ฝั่งละห้าคน”
หัวหน้าคณะทูตอสูรพยักหน้าเห็นด้วย
บรรยากาศในงานเลี้ยงจึงเริ่มผ่อนคลายลง
“กราบเรียนท่านแม่ทัพ หน่วยองครักษ์ของพวกเราจะอาสาออกไปต่อสู้เองขอรับ”
หลินเป่ยเฉินรีบโน้มตัวมาข้างหน้าและกล่าวว่า “ภารกิจของพวกเราคือการปกป้องศักดิ์ศรีให้แก่ท่านแม่ทัพอยู่แล้ว”
หลี่อี้สวิ่นพยักหน้าอนุญาต “ประเสริฐ การประลองครั้งนี้ เจ้าจัดการเองก็แล้วกัน”
ไม่สำคัญหรอกว่าการประลองครั้งนี้ฝ่ายสำนักม่วงมหากาฬจะชนะหรือพ่ายแพ้
แต่ที่นางมอบอำนาจให้แก่หลินเป่ยเฉินก็เพื่อหวังว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะทำตัวให้ชาญฉลาด และไม่นำพาตนเองไปรนหาที่ตายอีก
การประลองครั้งนี้ ไม่ว่าชนะหรือพ่ายแพ้ ล้วนแต่ไม่มีผลอันใด
เพราะสิ่งสำคัญคือการตัดสินในสนามรบมากกว่า
ในเวลาเดียวกันนี้ บรรดาอสุรกายเขียวฝั่งตรงข้ามที่มีความสูงมากกว่ามนุษย์ทั่วไปถึงสองเท่าต่างก็ได้รับการคัดเลือกให้ออกมาเข้าร่วมการประลอง พวกมันปลดปล่อยรังสีสังหารรุนแรง ในมือถือขวานยักษ์และกระดูกแหลม มวลอากาศปั่นป่วนโกลาหล
ขั้นพลังอยู่ในขอบเขตจอมอสูรจักรพรรดิระดับ 3
น่าสะพรึงกลัว
และภายใต้การจ้องมองของสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน หลินเป่ยเฉินก็ก้าวเดินออกมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
ในกลุ่มองครักษ์หน้าใหม่ ฉู่ซินหัวเราะในลำคออย่างมีความสุข
ประเสริฐ
จงออกมาต่อสู้
ต่อสู้แล้วก็ตายไปซะ
เมื่อเจ้าตาย ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของข้า
หัวหน้าหน่วยองครักษ์ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิตอนต้น จะสามารถต่อกรกับจอมอสูรจักรพรรดิระดับ 3 ผู้มากประสบการณ์ต่อสู้ในสนามรบได้อย่างไร?
ทุกคนรู้สึกว่าครั้งนี้หลินเป่ยเฉินจะต้องถึงที่ตายอย่างแน่นอน
แต่ทันใดนั้น…
“ฉู่ซิน”
อยู่ดี ๆ หลินเป่ยเฉินก็ส่งเสียงเรียกออกมา
ฉู่ซินขานรับโดยไม่รู้ตัวว่า “ข้าน้อยอยู่ที่นี่แล้วขอรับ”
นี่คือปฏิกิริยาตอบรับที่เป็นไปตามธรรมชาติ
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมาส่งยิ้มหวานให้แก่ฉู่ซินพร้อมกับกล่าวว่า “การประลองคู่แรก เจ้าต้องเป็นคนออกไปปกป้องศักดิ์ศรีให้แก่ท่านแม่ทัพ”
ฉู่ซินเบิกตาโต พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว