เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1817 ข้าจะออกไปสู้กับเจ้าเอง
ตอนที่ 1,817 ข้าจะออกไปสู้กับเจ้าเอง
หลี่อี้สวิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย
แม้สีหน้าจะยังคงราบเรียบดังเดิม
แต่การปลิวไสวของเส้นผมสีแดงของนางนั้นย่อมแสดงออกได้ดีถึงความรู้สึกที่แท้จริง
“ผู้อาวุโสลู่… ผู้อาวุโส…”
ในกลุ่มอสูรเกิดเสียงร้องสั่นเครือขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโสลู่ตายแล้ว”
อสูรตัวหนึ่งวิ่งออกมาเก็บซากที่เหลือแต่เพียงกายท่อนล่างของผู้อาวุโสลู่อย่างน่าอนาถใจ
ใบหน้าของหัวหน้าคณะทูตกลายเป็นสีขาวซีด
“เจ้ามนุษย์โสโครก”
มันระเบิดเสียงคำราม และทำท่าจะเดินออกมาข้างหน้า
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ได้โปรดให้ข้าน้อยจัดการเถอะ”
รองหัวหน้าคณะทูตกระซิบเสียงแหบต่ำ
มันเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับสองของคณะทูต มีพลังอยู่ในขั้นจอมอสูรจักราระดับ 2
ผู้เป็นหัวหน้าคณะพยักหน้า
รองหัวหน้าคณะอสูรมีนามว่าต้าเล่ย มันถอดชุดเกราะ ถอดถุงมือ เปิดเผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้อกำยำ ก่อนจะเดินช้า ๆ มาหยุดยืนอยู่ที่ลานเต้นรำและยกมือกระดิกนิ้วเรียกหลินเป่ยเฉิน “เจ้ามนุษย์… จงออกมา”
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจแม้แต่น้อย
เขาหันไปพูดกับฉู่ซินว่า “ถึงตาเจ้าแล้ว”
ฉู่ซินหันกลับไปมองอสูรต้าเล่ย ซึ่งมีร่างกายใหญ่โตมากกว่าตนเองเกินสองเท่า แล้วความกลัวก็กลืนกินจิตใจอีกครั้ง
ฉู่ซินรับรู้ได้เลยว่าอสูรที่กำลังโกรธแค้นในขณะนี้คงต้องฉีกร่างเขาออกเป็นชิ้น ๆ แน่นอน
“ขะ… ข้า… ข้า…”
ฉู่ซินพยายามค้นหาคำพูดด้วยใบหน้าที่ซีดขาว
“องครักษ์ฉู่ จงออกไปประลอง”
หลี่อี้สวิ่นออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาปานน้ำแข็งพันปี
นับว่าฉู่ซินหมดหวังอย่างแท้จริง
“ทำไมเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้?”
ฉู่ซินหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและตั้งคำถามด้วยความเจ็บใจ “ในหน่วยองครักษ์ยังมีคนอื่นอีกตั้งหลายคน ทำไมเจ้าถึงต้องเจาะจงเลือกข้าด้วย”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไร”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปเสียงเรียบ “แต่มันเป็นหน้าที่ของข้าในการปกป้องศักดิ์ศรีของท่านแม่ทัพหลี่”
ฉู่ซินหัวเราะออกมาด้วยความเศร้า
เขาค่อย ๆ เดินเข้าสู่ลานเต้นรำ
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงพลังกดดันจากร่างของอสุรกายเขียวฝั่งตรงข้ามเป็นอย่างดี
ฉู่ซินย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้และคงจะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ในไม่ช้า
และเหตุการณ์ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ต้าเล่ยจัดการฉีกแขนฉีกขาของฉู่ซินยัดเข้าปากเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะหัวเราะด้วยความสะใจ “รสชาติยังชุ่มฉ่ำเหมือนเคย… ฮ่า ๆๆ นับเป็นอาหารอันโอชะที่แท้จริง”
ผู้อ่อนแอไม่สมควรมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
ผู้อ่อนแอเป็นได้เพียงอาหาร
นี่คือหลักการความเชื่อของเผ่าอสุรกายเขียว
เมื่อเห็นฉู่ซินถูกฉีกกินเป็นชิ้น ๆ กลุ่มตัวแทนจากสำนักม่วงมหากาฬ ไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือมนุษย์ต่างก็รู้สึกโกรธแค้นอยู่ในใจ
“เจ้า!”
อสูรต้าเล่ยยกมือชี้หน้าหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง “ออกมาสู้กับข้าเดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ตรงนั้นและหันไปสบตาหลี่อี้สวิ่น
แม่ทัพหญิงผู้เลอโฉมกวาดตามองทั่วห้องประชุมและถามว่า “มีผู้ใดต้องการออกไปต่อสู้บ้าง?”
“ข้าน้อยขอรับ”
“ท่านแม่ทัพ ให้ข้าน้อยออกไปต่อสู้เถอะ”
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยยินดีรับหน้าที่นี้เอง”
นายทหารระดับสูงของสำนักม่วงมหากาฬจำนวนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า
เผ่าพันธุ์ปีศาจดำรงตนอยู่ด้วยความศรัทธาของพวกพ้อง และในกลุ่มของพวกเขาก็มียอดฝีมืออยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนองครักษ์ของหลี่อี้สวิ่นนั้น แทบไม่มีผู้กล้าหาญที่แท้จริงอยู่เลย
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่อี้สวิ่น
ในที่สุด นางก็เลือกนายทหารจากเผ่าพันธุ์ปีศาจตนหนึ่งที่มีนามว่าเยว่ซูให้ออกไปต่อสู้
แต่เพียงสามกระบวนท่าเท่านั้น เยว่ซูก็ถูกต้าเล่ยเหยียบศีรษะระเบิดกระจายตายคาฝ่าเท้า
“ใช้การไม่ได้”
ต้าเล่ยแสยะยิ้มและกล่าวว่า “มิน่าล่ะ สำนักม่วงมหากาฬถึงอยากจะมาเป็นพันธมิตรกับเผ่าพันธุ์อสุรกายเขียว นี่เป็นเพราะว่าพวกเจ้ามันไร้น้ำยา ยังจะมีหน้ามากล้าแย่งชิงอำนาจกับพวกเราอีกได้อย่างไร?”
“สามหาว”
“ปากดีนัก เจ้าหมูโสโครก”
“ท่านแม่ทัพ ให้ข้าน้อยจัดการมันเถอะ”
ยอดฝีมือของสำนักม่วงมหากาฬหลายคนระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
แม้แต่เยว่ชิงอานก็ยังต้องหันมามองหน้าหลี่อี้สวิ่นด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อยและเขาก็ส่ายศีรษะแผ่วเบา
เรื่องนี้จะปล่อยให้บานปลายเป็นเรื่องใหญ่ไม่ได้
มิเช่นนั้น มันจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อแผนการโดยรวมของสำนักม่วงมหากาฬ
หลี่อี้สวิ่นสูดหายใจลึกและกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา…
“เจ้าหมูโสโครก”
ฉับพลันนั้น หลินเป่ยเฉินขยับออกมาข้างหน้าและคำรามว่า “ข้าจะสู้กับเจ้าเอง”
สถานการณ์ที่กำลังจะเริ่มผ่อนคลายลงแล้วกลับตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ต่างจากมีคนราดน้ำมันลงในกองไฟ
กลุ่มอสุรกายเขียวพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนชูกำปั้นและส่งเสียงตะโกนว่า “ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน…”
หัวหน้าคณะทูตก็กล่าวเสียงดังเช่นกันว่า “ต้าเล่ย เจ้าจงใช้วิธีที่โหดร้ายอำมหิตที่สุด สังหารมนุษย์ผู้ต่ำต้อยผู้นี้และแก้แค้นให้แก่ผู้อาวุโสลู่ให้ได้”
อสูรต้าเล่ยยกมือทุบหน้าอกตนเอง ยามที่มันแยกเขี้ยวยิ้มยังคงมีเลือดติดอยู่ตามเขี้ยวแหลมและข้างแก้ม มันระเบิดพลังปราณอสูรออกมาเต็มอัตราขณะวิ่งเข้าหาหลินเป่ยเฉิน
พลังปราณอสูรระดับจอมจักราแผ่ออกมาเป็นม่านพลังคุ้มครองร่างกาย
“ข้าจะให้เจ้าได้ลองลิ้มชิมรสกำปั้นของข้าดูบ้าง… นี่คือหมัดอสูรสายฟ้า!”
ต้าเล่ยต่อยกำปั้นออกไปข้างหน้า
มวลอากาศปั่นป่วนโกลาหล
ลำแสงจากกำปั้นนั้นทะยานเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินไม่ต่างจากดาบเลเซอร์
ต้าเล่ยต้องการจะเอาชนะหลินเป่ยเฉินด้วยวิธีการเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินเอาชนะผู้อาวุโสลู่
มันอยากจะระเบิดร่างของเด็กหนุ่มให้แตกกระจายในหมัดเดียว
ต้าเล่ยอยากจะประกาศศักดาให้พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจและมนุษย์รู้ว่า เผ่าพันธุ์อสูรต่างหากที่มีหมัดหนักมากที่สุด
“หมัดของเจ้าหนักหน่วงมากกว่าหมัดของข้าอีกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม
เขาชื่นชอบศัตรูที่มั่นใจในตนเองจริง ๆ
อย่างแช่มช้า…
ภายใต้การจ้องมองของสายตาจำนวนมาก...
เด็กหนุ่มยื่นมือออกไป…
เพียงนิ้วเดียว
เป็นนิ้วกลาง
หลินเป่ยเฉินทิ่มนิ้วกลางของตนเองกระแทกใส่กำปั้นของต้าเล่ย
นิ้วมือของเขาพุ่งเป็นลำแสง กดเข้าใส่กำปั้นของต้าเล่ยโดยตรง
ไม่ต่างจากมีคนที่พยายามจะนำตะเกียบไปทิ่มใส่ค้อนเหล็กขนาดใหญ่
แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงักลง
สีหน้าของอสูรต้าเล่ยแสดงออกถึงความเหลือเชื่อ
ต้าเล่ยพยายามระเบิดพลังปราณออกมาอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร มันก็ไม่สามารถระเบิดพลังออกมาได้อีกแล้ว…
นิ้วมือเรียวยาวยังคงทิ่มอยู่บนกำปั้นของมัน
ไม่อาจสลัดหลุดได้
“อ่อนหัด มีความตั้งใจ… แต่ก็ยังอ่อนหัด!”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เปรี๊ยะ!
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ได้ยินเสียงแก้วแตกร้าวดังออกมาจากกำปั้นของต้าเล่ย ก่อนที่เสียงนั้นจะลุกลามขึ้นไปที่แขน หัวไหล่ และครอบคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย