เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1825 ท่านต้องมากับข้า
ตอนที่ 1,825 ท่านต้องมากับข้า
ความโกรธแค้นในแววตาของเยว่ชิงอานหายไป เสียงของเขาสั่นเครือเมื่อถามว่า “เจ้า… เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
หลินเป่ยเฉินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ตอบด้วยรอยยิ้ม “ท่านยังอ่อนหัดมากเกินไป เพียงเท่านี้ท่านก็ยังดูไม่ออก… เฮ้อ ถึงท่านดูไม่ออก ท่านก็น่าจะสงสัยบ้างสิ ในกลุ่มบุรุษหนุ่มด้วยกันทั้งหมด แม่ทัพหลี่ไม่ได้หลับนอนกับท่าน แต่ก็ยังเก็บท่านไว้ข้างกาย นี่หมายความว่าอย่างไร?”
เยว่ชิงอานมีสีหน้าเศร้าสลด “ข้าถูกบังคับให้อยู่ข้างนาง”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “หากนางอยากปล่อยท่านไป ท่านจะไปหรือไม่?”
เยว่ชิงอานได้ยินคำพูดนั้นก็ถึงกับต้องเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง “เจ้าหมายความว่า… แม่ทัพหลี่… นางห่วงใยข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถาม
เยว่ชิงอานนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายสว่างไสวขึ้นมาโดยพลัน
“รู้หรือไม่ว่าท่านเป็นคนขี้ขลาด”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
สีหน้าของเยว่ชิงอานดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ในเมื่อท่านหลงรักนาง ทำไมถึงไม่แสดงออกให้ชัดเจนไปเลยเล่า?” หลินเป่ยเฉินยังคงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ตลอดเวลาท่านเอาแต่เดินตามหลังนางไม่ต่างจากเงาที่อยู่ข้างกาย คอยทำงานตามคำสั่งของนางเสมอ แล้วท่านคิดจะนิ่งเงียบไปเช่นนี้ตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ?”
เยว่ชิงอานอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
เขาเองก็อยากจะถามคำถามเช่นกัน
แต่ก็กลัวว่าตนเองกำลังจะถูกฮ่าวไต๋หลอกปั่นหัว
“หึ ๆ รู้หรือไม่ว่าทำไมแม่ทัพหลี่ถึงไม่ยอมรับรักท่าน?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
เยว่ชิงอานตอบว่า “เพราะนางกลัวว่าข้าจะเดือดร้อน”
“งั้นท่านก็ไปบอกนางสิว่าท่านไม่กลัว ไม่ทราบว่าท่านเคยบอกหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามต่อ
เยว่ชิงอานตอบว่า “ข้าเคยบอกมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว ข้าบอกว่าอยากจะแต่งงานกับนาง…”
“นี่หรือคือความกล้าหาญของท่าน”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะขึ้นพร้อมกับหัวเราะในลำคอ “ท่านทราบหรือไม่ว่าความรักคืออะไร?”
“ข้า… ไม่ทราบ… ความรักคืออะไรหรือ?”
เยว่ชิงอานตัดสินใจถามออกไปในที่สุด
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ความรักไม่ใช่คำพูด แต่เป็นการกระทำ”
เยว่ชิงอานเลิกคิ้วสูง
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “นางกลัวท่านจะเดือดร้อนเพราะท่านจ้าวสำนักใช่หรือไม่? ถ้าอย่างนั้นท่านก็ฆ่าท่านจ้าวสำนักไปเลยสิ เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางความรักของพวกท่านได้อีกแล้ว”
เยว่ชิงอานมีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
แต่แล้วดวงตาก็เกิดความหมองเศร้า เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
หลินเป่ยเฉินชิงขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนว่า “เพราะว่าท่านมัวแต่ห่วงหน้าพะวงหลังมากเกินไป รู้ไหมว่าในสายตาของแม่ทัพหลี่ ท่านเป็นคนที่มีจิตใจลังเล นางมองไม่เห็นความกล้าหาญของท่าน ยิ่งท่านลังเลมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งมองเห็นท่านเป็นคนขี้ขลาดมากเท่านั้น ลองคิดให้ดีเถอะพี่ชาย… ท่านต้องแสดงออกให้ชัดเจนว่าท่านรักนางจริง ๆ”
เยว่ชิงอานยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ต่างจากรูปปั้นหินตัวหนึ่ง
ในห้วงภวังค์ของเขากำลังเห็นภาพอดีตฉายย้อนกลับมาเป็นฉาก ๆ
“ขะ…ข้าเข้าใจแล้ว”
ร่างกายของเขาสั่นเทา ราวกับคนที่ใกล้ถึงสติ
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่ออีกครั้งว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าตนเองสมควรทำสิ่งใด?”
“น้องชาย… ข้าคงต้องขอรับคำแนะนำจากเจ้าแล้ว”
เยว่ชิงอานโค้งตัวคำนับให้แก่เด็กหนุ่มสี่สิบห้าองศา
หลินเป่ยเฉินยิ้มด้วยความจริงใจ “เรื่องนี้จัดการได้ไม่ยาก ท่านต้องมากับข้า เราจะไปสังหารผู้ส่งสาส์นปิงหลันซาด้วยกัน”
เยว่ชิงอานหยุดชะงักเล็กน้อย “เรื่องนี้…”
“ท่านยังคิดลังเลอีกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “จงจำคำพูดของข้าไว้ให้ดี ความรักไม่ใช่คำพูด แต่เป็นการกระทำ”
เยว่ชิงอานชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ สุดท้ายดวงตาก็เป็นประกายระยิบระยับด้วยความเด็ดเดี่ยว “ตกลง ข้าจะไปกับเจ้า”
เขาตัดสินใจที่จะลองเดิมพันครั้งสำคัญ
อีกอย่าง เหตุผลที่เยว่ชิงอานยอมติดตามไปทำภารกิจลอบสังหารร่วมกับหลินเป่ยเฉินในครั้งนี้ ยังเป็นเพราะว่าเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านี่คือแผนการสำคัญของหลี่อี้สวิ่นที่จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด…
ดังนั้น หากเยว่ชิงอานทำผลงานได้ดี แม่ทัพหลี่ก็น่าจะเปิดใจให้กับเขาบ้างกระมัง?
…
เป็นเวลา 9:00 น. ตามเวลาของโลกมนุษย์
หลินเป่ยเฉินได้รับคำเชิญจากปิงหลันซาให้ไปเข้าพบที่จวนบุปผาแดงเพื่อทำการสอบปากคำ
และดูเหมือนว่านางจะกลัวหลินเป่ยเฉินหลบหนีหรืออะไรทำนองนั้น ผู้ที่มาส่งเทียบเชิญในเช้านี้ นอกจากจะมีสี่คนสนิทของปิงหลันซาแล้ว ก็ยังมีนายทหารติดตามมาอีกไม่ต่ำกว่าสี่สิบชีวิต
คนสนิททั้งสี่ของปิงหลันซาต่างก็มีพลังอยู่ในขั้นจอมปีศาจจักรา
“ขออภัย”
หนึ่งในสี่นำโซ่ตรวนมาคล้องลงที่ศีรษะของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นปัดป้อง “นี่หมายความว่าอะไรกัน?”
“เจ้าคิดขัดขืนอย่างนั้นหรือ?”
ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคนสนิทเป็นบุรุษหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปี ใบหน้าซีดขาว ดวงตาเป็นสีม่วงน่าหวาดกลัว
หลินเป่ยเฉินต้องการจะโยนโซ่ตรวนทิ้งไป
แต่เพื่อให้แผนการดำเนินต่อได้อย่างราบรื่น เขาจึงทำได้เพียงแค่นหัวเราะและหยุดขัดขืน
กริ๊ก!
โซ่ตรวนถูกคล้องใส่ศีรษะหลินเป่ยเฉินและห้อยอยู่บริเวณลำคอของเขาอย่างหนาแน่น
“ไปได้แล้ว”
หัวหน้ากลุ่มคนสนิทสะบัดสายโซ่ในมือ ก่อนจะออกเดินนำหน้า ไม่ต่างจากกำลังฉุดลากวัวกระทิงที่บ้าคลั่ง
“ท่านชื่ออะไร?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มอวดฟันขาววับ
หัวหน้ากลุ่มคนสนิทของปิงหลันซายิ้มเย้ยหยันตอบกลับมาว่า “อะไร? เจ้าอยากแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? ข้ามีนามว่าหนิงเว่ย เจ้าควรจำชื่อนี้เอาไว้ให้ดี แต่เจ้าคงไม่มีโอกาสได้แก้แค้นข้าอีกแล้ว”
“จริงหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าเล็กน้อย “ประเสริฐ นับเป็นชื่อที่ดียิ่ง แต่น่าเสียดายที่อีกไม่นานมันจะกลายเป็นชื่อคนตายเสียแล้ว”
วูบ!
ที่ปรึกษาหนิงเว่ยสะบัดสายโซ่ในมืออย่างแรง คลื่นพลังเวทมนตร์ไหลผ่านสายโซ่เจาะทะลุลำคอหลินเป่ยเฉินลงสู่ใต้ผิวหนังไม่ต่างจากกระแสไฟฟ้า
หลินเป่ยเฉินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม
การโจมตีในระดับนี้ อย่าว่าแต่จะทำให้เขาบาดเจ็บเลย แม้แต่ผมสักเส้นก็ไม่มีหลุดร่วงด้วยซ้ำ
พวกเขาเดินผ่านท้องถนนและเดินข้ามสะพาน ตลอดเส้นทางทุกสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาล้วนจ้องมองไปยังหลินเป่ยเฉิน เนื่องจากพวกเขาจำได้ดีว่าองครักษ์ผู้นี้คือวีรบุรุษที่สังหารหัวหน้าคณะทูตอสูรกลางงานเลี้ยงเมื่อวาน บางคนจ้องมองมาด้วยความสมเพชเวทนา บางคนก็จ้องมองด้วยความสงสาร บางคนก็จ้องมองด้วยความเดือดดาลและอยากจะขอคำอธิบายจากสำนักม่วงมหากาฬ
คำพูดและการกระทำของหลินเป่ยเฉินเมื่อวานนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วกองทัพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นี่คือกองทัพที่บัญชาการโดยหลี่อี้สวิ่น ผู้คนจำนวนมากจึงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนางโดยตรง ดังนั้น พวกเขาจึงเข้าข้างพวกเดียวกันโดยไม่รู้ตัว
แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้สนใจ
เพียงพริบตาเดียว เขาก็มาถึงสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งที่มีนามว่าจวนบุปผาแดง