เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1827 ลงมือปฏิบัติการ
ตอนที่ 1,827 ลงมือปฏิบัติการ
เยว่ชิงอานที่ยืนอยู่ด้านข้างใบหน้ากระตุกมากแล้ว
สมแล้วที่เป็นฮ่าวไต๋
นับว่าเป็นผู้ที่มีปัญหาทางสมองอย่างแท้จริง
ปิงหลันซาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้ากำลังจะบอกบางอย่างกับเจ้า เจ้าดูไม่ออกหรือ? ถ้าอย่างนั้นจงมองไปที่มันผู้นั้นอีกสักครั้ง…”
นางชี้มือไปยังนักโทษที่ถูกพันธนาการอยู่กับเสาทองสัมฤทธิ์ต้นที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งอยู่ถัดออกไปจากเสาทองสัมฤทธิ์สี่ต้นแรก
นักโทษผู้นี้เป็นหญิงสาว
ใบหน้าของนางยังคงงดงามไร้ตำหนิ แต่ร่างกายนั้นถูกคมมีดกรีดแทงเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน และนางถูกร่ายเวทมนตร์ใส่ ทำให้นางไม่อาจหมดสติ ต้องรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อรับความเจ็บปวดจากการถูกทรมาน
นักโทษหญิงส่งเสียงร้องโหยหวนจนบัดนี้เสียงของนางแหบแห้ง ไม่มีเสียงร้องออกมาอีกแล้ว
ดวงตาของนางปรารถนาถึงความตาย
“ที่ข้าทรมานพวกมันนั้น ไม่ใช่เพราะว่าข้าอยากรู้ข้อมูลอะไรหรอก แต่เป็นเพราะข้าอยากทรมานพวกมันเท่านั้นเอง”
ปิงหลันซาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “และนางแพศยาผู้นี้ นางเคยเป็นถึงหญิงรับใช้ที่ข้าไว้ใจมากที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่านางกลับเป็นสายลับแฝงตัวมา… เพราะฉะนั้น ข้าถึงจับนางมาทรมานต่อหน้าคนรักของนาง ทั้งยังสั่งให้ผู้คุมแร่เนื้อเถือหนังนำไปปิ้งย่างให้คนรักของนางกิน ฮ่า ๆๆ”
จังหวะนี้ หลินเป่ยเฉินก็สังเกตเห็นเตาย่างเนื้อเตาหนึ่งตั้งอยู่ข้างเสาทองสัมฤทธิ์… ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเนื้อที่กำลังถูกย่างอยู่บนเตานั้น ย่อมเป็นเนื้อที่ถูกเฉือนออกมาจากร่างนักโทษหญิงผู้นี้นี่เอง
และหนึ่งในนักโทษชายก็คือคนรักของนาง
เขาส่งเสียงร้องโหยหวนและสาปแช่งดังสนั่น
ความเจ็บปวดทางร่างกายไม่หนักหนาเท่าความเจ็บปวดทางจิตใจ
ไม่มีอะไรจะน่าหมดหวังและเจ็บปวดใจมากไปกว่าการเห็นคนรักของตนเองต้องถูกทรมานต่อหน้าต่อตา โดยที่ตนเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลยแม้แต่น้อย
“ท่านนี่มันโรคจิต... วิปริตอย่างน่าเหลือเชื่อ”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยความเศร้าสลด
“สามหาว”
ในที่สุด หนิงเว่ยก็อาศัยจังหวะนี้ส่งเสียงตะโกนขึ้นมา “เจ้ากล้าดีอย่างไรพูดจาเช่นนี้กับท่านทูต... ข้าจะฆ่าเจ้า”
“หยุดก่อน”
ปิงหลันซายกมือห้ามหนิงเว่ยอีกครั้ง
หลังจากนั้น นางก็จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเย็นเยียบ “สหายน้อย เจ้าช่างกล้าหาญเหลือเกิน แต่หากเจ้าคิดว่าหลี่อี้สวิ่นจะสามารถช่วยเหลือเจ้าได้ เจ้าก็คิดผิดแล้ว นางได้ล้ำเส้นที่ตนเองไม่สมควรก้าวข้ามเด็ดขาด และบัดนี้ แม้แต่ตัวนางเองก็ยังดูแลตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
ปิงหลันซาเข้าใจว่าที่หลินเป่ยเฉินกล้าประพฤติตนหยาบคายเช่นนี้ก็เพราะมีหลี่อี้สวิ่นคอยคุ้มครอง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่เคยหวาดกลัวผู้ใด
แต่หลินเป่ยเฉินไม่สนใจสิ่งที่ปิงหลันซาพูดสักนิด
เขามองนักโทษชายทั้งสี่ที่ถูกพันธนาการอยู่กับเสาทองสัมฤทธิ์และกล่าวว่า “พวกเจ้ายอมรับความผิดเถอะ สารภาพมาซะว่าผู้ใดใช้ให้เจ้าแฝงตัวเข้ามาที่นี่ และจงประกาศถอนตัวจากกองทัพเป่ยเฉิน ข้าเองก็เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นกัน ข้าสามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้”
“เฮอะ”
“พวกสุนัขรับใช้ปีศาจ”
“ไปให้พ้น… อย่ามาเกะกะ… สายตาของข้า…”
กลุ่มนักโทษชายร้องตะโกนออกมาพร้อมกันและบางคนถึงกับถ่มน้ำลายใส่ใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน
นักโทษชายที่เป็นคนรักกับนักโทษหญิงเป็นชายหนุ่มที่มีผมสั้นสีดำ เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินพร้อมกับพูดอย่างยากลำบากว่า “หากท่านยังเป็นมนุษย์อยู่จริง ๆ ก็จงฆ่าซินเอ๋อร์ซะ อย่าให้นางต้องทรมานอีกเลย…”
“ขอปฏิเสธ”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้า และตอบว่า “แต่ขอแค่พวกเจ้าเลือกทิ้งกองทัพเป่ยเฉิน นอกจากข้าจะช่วยให้นางไม่ต้องทรมานได้แล้ว ข้ายังสามารถช่วยชีวิตนางได้อีกด้วย”
ดวงตาของบุรุษหนุ่มผมสั้นที่เป็นประกายระยิบระยับอย่างมีความหวังอยู่เมื่อสักครู่นี้พลันหมองหม่นลงในพริบตา
เขาหัวเราะเยาะใส่หน้าหลินเป่ยเฉิน พยายามกล้ำกลืนโลหิตและหันหน้าหนีไปทางอื่น
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาสบสายตาเยว่ชิงอาน “ท่านเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดแล้วใช่หรือไม่?”
เยว่ชิงอานผงกศีรษะ “เข้าใจแล้ว”
ความรักคือการกระทำ
นักโทษชายและนักโทษหญิงที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาคือตัวอย่างที่ดีของคำที่ว่าความรักคือการกระทำ ไม่ใช่คำพูด
พวกเขาไม่ยินยอมให้ความรักของตนเองทำให้แผนการของส่วนรวมต้องพังพินาศ
แผนการของส่วนรวมมีความสำคัญมากกว่าความรักระหว่างพวกเขา ดังนั้น นักโทษชายและนักโทษหญิงคู่นี้จึงได้แต่ยอมรับชะตากรรมโดยไม่คิดเสียใจแม้แต่น้อย
เยว่ชิงอานถึงกับตกตะลึง
ในที่สุด เขาก็เข้าใจถ้อยคำของหลินเป่ยเฉินแล้ว
“สหายน้อย เจ้ากล่าวจบแล้วหรือไม่?”
ปิงหลันซากล่าวขึ้นมาช้า ๆ “ดูเหมือนเจ้าจะตัดสินใจผิดพลาด ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของหลี่อี้สวิ่น ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเจ้า หากเจ้าไม่…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค
วูบ!
ลำแสงพุ่งสว่างวูบ
ศีรษะของผู้ลงทัณฑ์นักโทษลอยกระเด็นขึ้นไปในอากาศ…
หลินเป่ยเฉินลงมือโจมตีแล้ว
ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่านักโทษทั้งสี่ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตนเอง บางทีพวกเขาอาจจะเป็นคนในสำนักม่วงมหากาฬเองก็เป็นได้
แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว เขาจึงทนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้อีกต่อไป
เคร้ง!
สายโซ่ที่พันธนาการอยู่รอบคอของเขาถูกกระชากฉีกขาดอย่างง่ายดาย
แล้วลำแสงก็พุ่งสว่างไสวอีกครั้ง
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ท่ามกลางสะเก็ดไฟที่สาดกระจาย สายโซ่ที่พันธนาการนักโทษทั้งสี่ก็ขาดกระเด็นโดยทันที
บรรดาองครักษ์ที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ไม่ทันได้ตั้งตัว
“ตายซะเถอะ”
หนิงเว่ยเป็นคนแรกที่หายจากการตกตะลึงและชักกระบี่ออกมาแทงใส่หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินปล่อยให้คมกระบี่แทงใส่ลำคอของตนเอง ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็ยื่นมือออกไปบีบลำคอของหนิงเว่ย
“เจ้าจำสิ่งที่ข้าพูดได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างอวดฟันขาววับ “เจ้าคิดว่าข้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะสู้กับเจ้าได้อย่างนั้นหรือ?”
หนิงเว่ยกำลังตื่นตระหนกมากแล้ว
กระบี่คู่กายที่เป็นอาวุธเล่นแร่แปรธาตุระดับ 36 มีความคมในชนิดที่สามารถโจมตีใส่จอมเทพจักราได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เมื่อคมกระบี่แทงใส่ลำคอของหลินเป่ยเฉิน กระบี่ของหนิงเว่ยกลับแตกหักทันทีและแรงบีบจากฝ่ามือของหลินเป่ยเฉิน… ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถต้านทานได้อีกแล้ว
นี่เป็นพลังที่อยู่ในขั้นใดกัน?
เมื่อหนิงเว่ยนึกสงสัยในเรื่องนี้ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินบิดข้อมือของตนเองพอดี
พลั่ก!
หัวหน้าหน่วยองครักษ์ประจำตัวปิงหลันซาถูกโยนไปกระแทกกับเสาทองสัมฤทธิ์ต้นหนึ่งจนร่างกายแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี
ไม่สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก
“เดี๋ยวข้าจะจัดการปิงหลันซาให้เอง ส่วนคนที่เหลือฝากท่านด้วยและก็อย่าลืมปกป้องนักโทษเหล่านี้ให้ข้าด้วยล่ะ… เสี่ยวเยว่ ไม่ทราบว่าท่านสามารถทำได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินตะโกนออกมาเสียงดัง
เยว่ชิงอานตอบรับว่า “ไม่มีปัญหา ไว้ใจข้าได้เลย แต่ว่าเจ้าเถอะจะสามารถรับมือ…”
กล่าวยังไม่ทันจบประโยค เยว่ชิงอานก็เห็นแสงสว่างเป็นประกายวูบวาบที่เบื้องหน้าตนเอง
แล้วหลินเป่ยเฉินกับปิงหลันซาก็หายตัวไปพร้อม ๆ กัน
หายตัวไปแล้ว?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?