เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1828 ช่วยเหลือหน่วยพลีชีพ
ตอนที่ 1,828 ช่วยเหลือหน่วยพลีชีพ
หน่วยกล้าตายทั้งสี่คนของกองทัพเป่ยเฉิน ย่อมตกตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้
พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นักโทษหญิงที่ถูกทรมานก็ได้รับการช่วยเหลือลงมาแล้วเช่นกัน
แม้เยว่ชิงอานจะไม่ทราบเลยว่าหลินเป่ยเฉินอยากจะช่วยเหลือนักโทษเหล่านี้ไปทำไม แต่ในเมื่อนั่นเป็นคำสั่งของเด็กหนุ่ม มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรที่เยว่ชิงอานจะช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่นักโทษเหล่านี้เป็นการชั่วคราว
ฝ่ามือของเขาสัมผัสลงบนด้ามจับกระบี่สีแดงและเยว่ชิงอานก็ชักกระบี่ออกจากฝัก
ชิ้ง!
ร่างของกลุ่มองครักษ์ประจำจวนบุปผาแดงที่วิ่งเข้ามาพลันถูกตัดขาดเป็นหลายท่อนร่วงหล่นลงบนพื้น
“ได้โปรดมาหลบอยู่ข้างหลังข้า”
เยว่ชิงอานส่งเสียงตะโกนใส่นักโทษทั้งห้าคน
พวกเขาถูกทรมานอย่างหนักหนาสาหัส ต่อให้ขณะนี้ต้องการหลบหนีก็ไม่สามารถหลบหนีได้อีก สิ่งเดียวที่ทุกคนทำได้ก็คือมายืนอยู่ด้านหลังเยว่ชิงอานเป็นการชั่วคราวและเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงต่อไป
นักโทษหนุ่มวิ่งเข้าไปช่วยประคองหญิงคนรักของตนเอง และเขาก็พบว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงรีบโคจรพลังช่วยรักษา แต่เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวถูกแล่เนื้อเถือหนังออกมามากเกินไป…
พลังปราณไหลรินเข้าสู่ร่างกายของหญิงสาว
องครักษ์หนุ่มที่มากับพวกปีศาจผู้นั้นช่วยเหลือพวกเขาจริง ๆ
นักโทษหนุ่มได้แต่สงสัย
เด็กหนุ่มผู้นั้นช่วยพวกเขาไว้ทำไม?
หรือว่าเขาก็เป็นหนึ่งในหน่วยกล้าตายของกองทัพเป่ยเฉินเช่นกัน?
คำถามมากมายปรากฏขึ้นในจิตใจของกลุ่มนักโทษ
“ปิดล้อมพวกมันไว้และฆ่ามันให้ได้”
ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นของหนิงเว่ย
แม้ว่าเขาจะถูกหลินเป่ยเฉินเล่นงานจนร่างกายแหลกเหลว แต่ผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมปีศาจจักราย่อมไม่สิ้นชีวิตง่าย ๆ อยู่แล้ว ร่างกายที่แหลกละเอียดของหนิงเว่ยรวมร่างกลับคืนมาเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น
และพลังกดดันก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายอย่างรุนแรง
แต่เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
วูบ!
ลำแสงกระบี่สีแดงก็สว่างวาบ
หนิงเว่ยยืนตัวแข็งทื่อ
โลหิตพุ่งกระฉูด
ศีรษะกลิ้งหลุดจากบ่า
“มีผู้ใดคิดขัดขวางอีกหรือไม่?”
เยว่ชิงอานถือกระบี่อยู่ในมือด้วยท่าทางองอาจ
เขาอดทนต่อกลุ่มองครักษ์ของปิงหลันซามานานแล้ว
ในที่สุดก็ได้เวลาฆ่าสักที
กลุ่มองครักษ์คนอื่น ๆ ที่ยังรอดชีวิตอยู่ยังคงกรูเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย
แต่เยว่ชิงอานมีพลังแข็งแกร่งมากเกินไป กระบี่ที่มีด้ามจับสีแดงของเขาคือกระบี่แห่งความตาย ทุกครั้งที่คมกระบี่สว่างวูบ ก็จะมีองครักษ์ฝ่ายตรงข้ามล้มลงสิ้นใจตายด้วยความเงียบงัน
ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าเขาใช้กระบี่ด้วยท่วงท่าใด
ไม่มีผู้ใดมองเห็นการโจมตีจากกระบี่ของเขา
ไม่มีผู้ใดจะสามารถหยุดยั้งกระบี่ของเยว่ชิงอานได้
ไม่ว่าเขาเคลื่อนกายไปบริเวณใด คู่ต่อสู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็จะต้องล้มลงสิ้นชีวิต
เพียงพริบตาเดียว องครักษ์ประจำจวนบุปผาแดงก็ถูกสังหารหมดสิ้น ไม่เหลือรอดแม้แต่ผู้เดียว
นี่คือความแข็งแกร่งของเยว่ชิงอาน
ตลอดเวลาที่เขารับใช้อยู่ข้างกายหลี่อี้สวิ่น เยว่ชิงอานเก็บเนื้อเก็บตัวประพฤติตนเป็นทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์และว่านอนสอนง่าย เพราะฉะนั้น จึงมีผู้คนมากมายที่ไม่ทราบความจริงว่าเยว่ชิงอานมีพลังอยู่ในขอบเขตจอมเทพจักราและก็มีฝีมือกระบี่ที่น่ากลัวยิ่งนัก
การเรียกตัวฮ่าวไต๋มาสอบปากคำในวันนี้ มีการสร้างค่ายอาคมป้องกันการสอดแนมจากภายนอกอย่างรอบคอบรัดกุม ดังนั้น การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในจวนบุปผาแดงจึงยังคงไม่มีผู้ใดล่วงรู้
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
เยว่ชิงอานจ้องมองไปยังกลุ่มหน่วยกล้าตายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก่อนจะนำผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาเช็ดคราบเลือดบนกระบี่ของตนเอง และสุดท้าย เขาก็เสียบกระบี่คืนฝักในที่สุด
เยว่ชิงอานกำลังรอคอย
แม้เขาจะไม่ทราบเลยว่าฮ่าวไต๋หายตัวไปได้อย่างไรหรือหายตัวไปไหน
แต่เขาเชื่อว่าเจ้าหมอนั่นจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน
นี่คือสัญชาตญาณของมือกระบี่
“เขา… เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นใคร?”
หนึ่งในนักโทษหน่วยพลีชีพอดถามออกมาไม่ได้
เยว่ชิงอานเงียบงันไปเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “เป็นคนเลวผู้หนึ่ง”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็นึกได้ถึงถ้อยคำเหยียดหยามจากฮ่าวไต๋ที่เคยกล่าวกับตนเองก่อนหน้านี้ จึงต้องกล่าวเสริมเพิ่มเติมไปว่า “เป็นคนเลวอย่างร้ายกาจ”
หน่วยพลีชีพทั้งสี่คนหันมองหน้ากัน ไม่ทราบเลยว่าคำตอบนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่
แต่พวกเขาก็ใช้โอกาสนี้ฟื้นฟูพลังของตนเอง สัญชาตญาณบอกนักโทษหน่วยพลีชีพทั้งสี่คนว่าบัดนี้พวกเขาไม่ต้องรีบหลบหนีอีกแล้ว เพราะด้านนอกจวนที่พักมีอันตรายมากกว่าด้านในหลายร้อยเท่า มีการวางเวรยามป้องกันนักโทษหลบหนีอย่างหนาแน่น ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบัดนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ จึงไม่สามารถหนีออกไปได้อย่างแน่นอน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย
สีหน้าของเยว่ชิงอานบอกชัดถึงความร้อนใจ
เขาเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
แม้ว่าฮ่าวไต๋จะมีร่างกายแข็งแกร่งเกินผู้คนปกติ แต่ขั้นพลังของเจ้าหมอนั่นยังห่างชั้นจากปิงหลันซามากเกินไป ถ้าเกิดพลาดท่าเสียทีขึ้นมาจริง ๆ…
ในจังหวะที่เยว่ชิงอานกำลังจะลงมือทำอะไรบางอย่าง…
ห้องโถงใหญ่ก็มีแสงสีฟ้าสะท้อนประกายระยิบระยับ
แล้วร่างของหลินเป่ยเฉินก็กลับมายืนอยู่ที่เดิมอีกครั้ง
เยว่ชิงอานฉีกยิ้มด้วยความดีใจ “เจ้าหายไปไหนมา ปิงหลันซาหลบหนีไปแล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้น…”
แต่แล้วคำพูดของเขาก็หยุดชะงักลง
เพราะสายตาของเยว่ชิงอานไปสะดุดเข้ากับศีรษะของปิงหลันซาที่อยู่ในมือหลินเป่ยเฉิน
ใบหน้าที่สวยงามบิดเบี้ยวด้วยความน่าเกลียดน่ากลัว เห็นได้ชัดว่าคงถูกกระชากศีรษะหลุดออกมาทั้งเป็น
เยว่ชิงอานไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ปิงหลันซาเบิกตาโต ในดวงตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม ความโกรธแค้นและความสะพรึงกลัว
เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่?
เยว่ชิงอานไม่สามารถคาดเดาได้เลย
แต่สิ่งที่เขารู้ก็คือฮ่าวไต๋เป็นฝ่ายชนะ
ฮ่าวไต๋สามารถเอาชนะผู้ที่อยู่ในขั้นจอมปีศาจจักราระดับ 4 ได้ในเวลาเพียงชงน้ำชาหนึ่งถ้วยเท่านั้น
หน่วยพลีชีพทั้งสี่คนจากกองทัพเป่ยเฉินก็เป็นสักขีพยานในเหตุการณ์นี้เช่นกัน
ผู้ส่งสาส์นคนสำคัญประจำสำนักม่วงมหากาฬถูกฆ่าตายแล้ว
เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาคนนี้สามารถบรรลุในสิ่งที่พวกเขาทำไม่สำเร็จได้
นี่คือสิ่งที่ทำให้สมาชิกหน่วยพลีชีพทั้งแปลกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน
ปิงหลันซาตายแล้ว เท่ากับว่าภารกิจของพวกเขาสำเร็จลุล่วง แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นไปตามแผนการเลยก็ตาม
ต่อให้หลังจากนี้พวกเขาต้องตาย สมาชิกหน่วยพลีชีพก็ไม่เสียใจ
“เจ้าสามารถทำได้อย่างไร?”
สุดท้าย เยว่ชิงอานก็อดถามออกมาไม่ได้
“สตรีนางนี้แข็งแกร่งจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกและอธิบายว่า “ข้าสู้กับนางตั้งนาน ในที่สุด ข้าก็ต้องฉีกเสื้อผ้าของนางทิ้ง… ท่านไม่รู้หรอกว่ามันเป็นการต่อสู้ที่อันตรายเพียงใด ข้าต้องเสียขนหน้าอกไปตั้งหลายเส้น หากนางแข็งแกร่งมากกว่านี้ เกรงว่าข้าคงไม่ใช่คู่มือของนางแล้ว”
เยว่ชิงอานพูดอะไรไม่ออก
เมื่อรับฟังคำอธิบายของหลินเป่ยเฉิน
เขาก็รู้สึกได้เพียงอย่างเดียวว่าหากจะอธิบายเช่นนี้ สู้ไม่ต้องอธิบายเลยยังจะดีเสียกว่า