เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1832 พบท่านภูตอเวจี
ตอนที่ 1,832 พบท่านภูตอเวจี
สงครามยังคงดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า
ไฟสงครามแผ่ปกคลุมหลายอาณาจักร มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน
ดินแดนจำนวนมากเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ดังระงม กลิ่นไอความตายลอยอยู่ในอากาศ
กองทัพของหลี่อี้สวิ่นบุกยึดครองสามเมืองใหญ่ของอาณาจักรซือเว่ย อันประกอบไปด้วยเมืองซานอวี่ เมืองพั่วเฟิง และเมืองเฉิงซุน ซึ่งเป็นเมืองที่มีทรัพยากรยากรในด้านต่าง ๆ อุดมสมบูรณ์
ในเวลาเดียวกันนี้ กองทัพของเผ่าพันธุ์อสูรก็บุกโจมตีสามอาณาจักร อันประกอบไปด้วยอาณาจักรลู่อวิ๋น อาณาจักรไป๋ซือและอาณาจักรหงเฉียงและเป้าหมายต่อไปของพวกมันก็คือการบุกมาปิดล้อมอาณาจักรซือเว่ยด้วยกำลังพลที่มากกว่ากองทัพจากสำนักม่วงมหากาฬเสียอีก
ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามแผนการที่ทั้งสองเผ่าพันธุ์ได้วางเอาไว้ก่อนหน้านี้
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ เนื่องจากการสังหารหัวหน้าคณะทูตอสูรของหลินเป่ยเฉิน บรรยากาศระหว่างสำนักม่วงมหากาฬและเหล่าอสุรกายเขียวจึงค่อนข้างตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง มีรายงานว่านายทหารแนวหน้าของทั้งสองฝ่ายเริ่มปะทะกันแล้วเป็นบางส่วน
หลี่อี้สวิ่นสามารถทำได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ…
ยื้อเวลา
นางส่งทูตไปเจรจาสัมพันธไมตรีถึงแปดครั้ง มอบเงินให้ไปอีกจำนวนไม่น้อยเพื่อแทนคำขอโทษ และสัญญาว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก แม้ว่าจำนวนเงินที่นางมอบให้นั้นจะไม่สามารถดับความโกรธแค้นของพวกอสูรได้หมดสิ้น แต่หลี่อี้สวิ่นก็สามารถปฏิบัติตามแผนการเดิมของตนเองได้อย่างไม่มีปัญหา
ดังนั้น แม้ทหารทั้งสองฝ่ายจะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ที่แท้จริง
นั่นเป็นเพราะว่าสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต่างให้ความสนใจก็คืออาณาจักรซือเว่ย
พวกเขาไม่มีเวลามาห้ำหั่นกันเอง
แน่นอนว่าผู้ที่ตกอยู่ในภาวะอันตรายมากที่สุดก็คือเผ่าพันธุ์มนุษย์
สถานการณ์ในอาณาจักรซือเว่ย ณ ปัจจุบัน เหลืออยู่เพียงไม่กี่เมืองเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในการปกครองของราชวงศ์เทียนหลางเซิน แต่ขอเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน เมืองเหล่านี้ก็คงถูกศัตรูยึดครองหมดสิ้น
ความหวังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงฝากเอาไว้ที่กองทัพเซียนกระบี่ ซึ่งในขณะนี้พวกเขาตั้งฐานบัญชาการอยู่ที่เมืองหลานเหนี่ยว ณ กำแพงเมืองฝั่งเหนือ พวกเขามีกำลังพลประมาณหนึ่งล้านนาย พร้อมสำหรับรับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
แต่นี่เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก
สถานการณ์ไม่เป็นใจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอาณาจักรซือเว่ย หากจะกล่าวว่าสถานการณ์ของพวกเขาอยู่ในความหมดหวังก็คงไม่ผิดนัก
และทันใดนั้น สิ่งที่หลี่อี้สวิ่นกำลังรอคอยก็มาถึง
ท่านภูตอเวจีผู้นำสูงสุดแห่งสำนักเซวียนเซวี่ย ได้มาปรากฏตัวที่ป้อมปราการลอยฟ้าตามคำเชิญของอวี้เหวินซิวเซียนในบ่ายวันนี้ และท่านภูตอเวจีก็จะมาประชุมกับหลี่อี้สวิ่นเป็นการส่วนตัว
ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นความลับสุดยอด
นี่คือครั้งแรกที่หลี่อี้สวิ่นได้พบเห็นท่านภูตอเวจีตัวจริงเสียงจริง
ท่านภูตอเวจีเป็นสตรี
เยาว์วัย สวยงามและบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ทุกสัดส่วนในร่างกายเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบและทำให้สตรีทุกนางในโลกนี้ต้องคิดอิจฉา
ท่านภูตอเวจีเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูด
“ข้าน้อยขอคารวะท่านภูตอเวจี”
หลี่อี้สวิ่นคุกเข่าประสานมือคำนับด้วยความอ่อนน้อม
สำหรับผู้คนในเผ่าพันธุ์ปีศาจ เมื่อได้พบกับท่านภูตอเวจี แม้จะไม่ได้สังกัดอยู่สำนักเดียวกันก็ตาม แต่ก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความเคารพสูงสุดเสมอ
“ลุกขึ้นเถอะ”
ท่านภูตอเวจียกมือขึ้นเล็กน้อยด้วยท่วงท่าสง่างามอย่างคนที่มีความมั่นใจในตนเอง
หลี่อี้สวิ่นรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ท่านภูตอเวจีผู้นี้เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจริง ๆ แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้โหดร้ายและอำมหิตอย่างข่าวลือที่หลี่อี้สวิ่นเคยได้ยินมาก่อน
แน่นอนว่านี่คือเรื่องที่ต้องสังเกตต่อไป
อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ
“ท่านภูตมาแล้วหรือเจ้าคะ?”
หลี่อี้สวิ่นพบว่าอวี้เหวินซิวเซียนซึ่งควรจะมาปรากฏตัวด้วยนั้นได้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนาจึงอดถามไม่ได้ว่า “เหตุไฉนข้าถึงไม่เห็นคุณชายอวี้เหวินมากับท่าน?”
“อ้อ”
ท่านภูตอเวจีกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “เขามีภารกิจเร่งด่วนต้องไปทำน่ะ”
หลี่อี้สวิ่นพยักหน้า
นี่ไม่ใช่คำตอบที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย
เหตุผลที่นางถามถึงอวี้เหวินซิวเซียนนั้น เป็นเพราะว่านางรู้สึกเกลียดชังเด็กหนุ่มผู้นี้จริง ๆ
นับตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของหลี่อี้สวิ่น แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ได้เลวร้ายสำหรับพวกนาง แต่ความประทับใจที่หลี่อี้สวิ่นมีต่ออวี้เหวินซิวเซียนก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ทั้งสองฝ่ายเดินเข้าสู่ห้องโถงด้านใน
ค่ายอาคมป้องกันการสอดแนมถูกเปิดใช้งาน
ในห้องโถงใหญ่มีเพียงปีศาจสาวทั้งสองตนเท่านั้น
แม้แต่ที่ปรึกษาคนสนิทของหลี่อี้สวิ่นอย่างเยว่ชิงอานก็ยังต้องยืนอยู่ด้านนอก
ด้านในห้องโถงใหญ่ปกคลุมด้วยความเงียบ
“ได้ยินว่าแม่ทัพหลี่มีความประสงค์อยากจะออกจากสำนักม่วงมหากาฬหรือ?”
ท่านภูตอเวจีเป็นฝ่ายเปิดฉากการเจรจาพลางปรบมือแผ่วเบา “นับเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด อีกไม่นานสำนักม่วงมหากาฬก็จะล่มสลาย จ้าวสำนักของพวกเจ้าถึงกับคิดทำการใหญ่โดยไม่ดูความสามารถของตนเอง…. ถ้าอย่างนั้น แม่ทัพหลี่มาเข้าร่วมกับสำนักของข้าเถอะ มีเพียงสำนักของข้าเท่านั้นจึงจะเหมาะสมกับเจ้าที่สุด”
หลี่อี้สวิ่นตอบกลับไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า “ข้าน้อยยังไม่คิดออกจากสำนักในตอนนี้หรอกเจ้าค่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่คิดเข้าร่วมกับสำนักของท่านภูตเช่นกัน หากข้าน้อยออกจากสำนัก ท่านจ้าวสำนักก็ต้องคิดแก้แค้นข้าน้อยแน่นอน และเท่าที่ข้าน้อยได้รับทราบข่าวมา ดูเหมือนขั้นพลังในปัจจุบันของท่านภูตจะยังไม่สามารถต่อกรกับเขาได้กระมัง?”
ท่านภูตอเวจีโบกมือและกล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจ “เหลวไหล ข้าสามารถฆ่าเขาได้เพียงดีดนิ้วมือเท่านั้น เจ้าอย่าลืมสิว่าบัดนี้ข้ามีกองทัพเป็นของตนเองแล้ว หากเขากล้ามาแก้แค้นเจ้า ข้านี่แหละจะเป็นคนลงทัณฑ์เขาด้วยตนเอง”
หลี่อี้สวิ่นกล่าวด้วยสีหน้าที่มีความสนใจมากขึ้น “บัดนี้ ข้ามีนายทหารหนึ่งล้านนาย มีทรัพยากรและอาวุธนับไม่ถ้วน มิหนำซ้ำยังมีป้อมปราการลอยฟ้าแห่งนี้ หากข้าน้อยย้ายไปสังกัดสำนักของท่าน ไม่ทราบว่าข้าน้อยจะได้อะไรบ้าง?”
ท่านภูตอเวจีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “เจ้าจะได้รับใช้ข้าในฐานะผู้อาวุโส”
“เป็นเพียงผู้อาวุโสหรือเจ้าคะ?”
หลี่อี้สวิ่นเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสับสน “เท่าที่ข้ารู้ กองทัพของท่านมีทหารไม่ถึงหนึ่งล้านนาย อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ยังเทียบเคียงกับสำนักม่วงมหากาฬไม่ได้ แล้วข้าน้อยจะเป็นได้เพียงผู้อาวุโสเท่านั้นหรือ? เหตุไฉนจึงไม่ได้ครองตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ล่ะเจ้าคะ?”
ท่านภูตอเวจีตอบว่า “ตำแหน่งนั้นมีผู้อื่นจับจองแล้ว”
หลี่อี้สวิ่นถามด้วยความสงสัยว่า “เป็นผู้ใด?”
ท่านภูตอเวจีหัวเราะในลำคอ “เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง”
หลี่อี้สวิ่นขมวดคิ้วนิ่วหน้า “ข้าน้อยรู้สึกว่าท่านภูตไม่ได้จริงใจต่อข้าน้อยเลย”
ท่านภูตอเวจีกล่าวตอบเสียงเรียบว่า “เหตุผลที่เจ้าเป็นได้เพียงผู้อาวุโสระดับสูง เป็นเพราะว่านี่คือตำแหน่งเดียวที่ยังว่างอยู่ หากเจ้าได้รับการสนับสนุนในภายหลัง เจ้าก็จะกลายเป็นสมาชิกคนสำคัญในสำนักอย่างแน่นอน... ด้วยความสามารถของเจ้า คงไม่ได้อยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสนานนักหรอก”
หลี่อี้สวิ่นหัวเราะแผ่วเบา “แล้วข้าน้อยจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งในอนาคต?”
ท่านภูตอเวจียกมือขึ้นทำท่าดันแว่น “พวกเรามาเดิมพันกันดีหรือไม่?”
“เดิมพันหรือเจ้าคะ?”
หลี่อี้สวิ่นหยุดชะงักและถามว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร?”
นับเป็นคำพูดที่แปลกประหลาดนัก
และจังหวะการพูดก็ยังมีความคุ้นเคยอย่างประหลาด
ท่านภูตอเวจีกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นว่า “พวกเรามาพิสูจน์กัน หากสำนักของข้าไม่สามารถครอบครองเส้นทางดาราจักรได้ในเวลาสิบปีหลังจากนี้ เจ้าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ แต่หากสำนักของข้าทำได้สำเร็จ เจ้าจะต้องอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสตลอดไปดีหรือไม่?”
ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด หลี่อี้สวิ่นจึงรู้สึกคุ้นเคยกับคำพูดเหล่านี้ชอบกล
มันเตือนให้นางนึกถึงวิธีการพูดของอวี้เหวินซิวเซียนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว