เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1838 ก่อนสงคราม
ตอนที่ 1,838 ก่อนสงคราม
“ใช้ทหารเป็นเบี้ยไร้ค่า!”
“ไม่ว่าจะใช้ยุทธศาสตร์ใด ไม่ว่าจะเป็นสงครามที่ไหน ไม่ว่าจะมียอดฝีมืออยู่จริงหรือไม่ แต่เมื่อได้ชื่อว่าเป็นสงครามแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการเสียสละชีวิตของนายทหารชนชั้นล่างได้เด็ดขาด”
“ชัยชนะของสงครามมักแลกมาด้วยชีวิตของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน”
“การทำสงครามของผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ต้องตายก็คือนายทหารระดับล่าง”
“การทำสงครามระหว่างอาณาจักร ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนก็คือประชาชน”
หวังจงกล่าวด้วยแววตาเหม่อลอยคล้ายกับกำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีต
โจวเทียนอวิ๋นไม่ได้สนใจความเศร้าโศกของชายชราแม้แต่น้อย
เพราะเขากำลังคิดถึงอีกหนึ่งเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่า
เมื่อพิจารณาจากข่าวลับที่หลินเป่ยเฉินแอบส่งกลับมาจากป้อมปราการลอยฟ้าของหลี่อี้สวิ่น หลังจากสามารถปิดข่าวมาได้พักใหญ่ แต่นับจากนี้ไป เรื่องราวการสั่นคลอนทางอำนาจของสภาศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่สามารถปิดบังได้อีกนานนัก
นี่จะต้องเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนไปทั่วเส้นทางดาราจักรเป็นแน่
บรรยากาศในขณะนี้ไม่ต่างจากก่อนเกิดเหตุคลื่นสึนามิซัดถล่ม ท้องทะเลจะเงียบสงบ น้ำทะเลจะเริ่มลดลง ก่อนที่น้ำทะเลจะซัดกลับมาในจำนวนมหาศาล ซึ่งมากพอที่จะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่บัดนี้ ความสั่นคลอนทางอำนาจของสภาศักดิ์สิทธิ์ได้ส่งผลกระทบมาถึงอาณาจักรซือเว่ยแล้ว
อาณาจักรซือเว่ยตั้งอยู่ในเส้นทางหวังซิน ซึ่งเป็นชายขอบของเส้นทางดาราจักร กว่าข่าวการล่มสลายของสภาศักดิ์สิทธิ์จะเดินทางมาถึงที่นี่ ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงก็คงได้เริ่มขึ้นแล้ว
หรือนี่จะเป็นยุคแห่งการล่มสลายครั้งที่สาม?
โจวเทียนอวิ๋นคิดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
ได้เวลาแล้ว
เรื่องราวที่ค้างคามาเป็นเวลาหลายพันปี ในที่สุด ก็จะได้เวลายุติทุกสิ่งทุกอย่างสักที!
หลายพันปีที่ผ่านมา มีผู้คนจำนวนมากรอคอยช่วงเวลานี้อยู่
และหวังจงที่ยืนอยู่ข้างเขา ในสายตาของโจวเทียนอวิ๋นนั้น จิ้งจอกเฒ่าไม่สมควรมายืนทอดอารมณ์อยู่เช่นนี้ แต่สมควรตัดสินใจให้เด็ดขาดไปเลยดีกว่า
และในที่สุด หวังจงก็ตัดสินใจแล้ว
“ถ่ายทอดคำสั่งให้ถอยทัพมาประจำการที่กำแพงเมือง ไม่ต้องสนใจพื้นที่รอบนอกอีก” หวังจงพูด จากนั้นก็เดินตรงไปที่หอบังคับการ “เหล่าโจว เจ้ามีเวลาสามชั่วยาม ก่อนที่กำแพงเมืองจะเริ่มถูกโจมตี”
บรรดานายทหารที่ยืนรับฟังอยู่แถวนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยทันที
การถอนกำลังออกจากพื้นที่รอบนอก เท่ากับเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ไปในตัว
และการต่อสู้ในครั้งต่อไปจะนำพามาซึ่งโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้ามากกว่าเดิม
คำสั่งถูกถ่ายทอดออกไปอย่างรวดเร็ว
กองทัพเซียนกระบี่ถอนกำลังกลับมา
“จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ สุดท้ายก็ทิ้งงานหนักไว้ให้ข้าทำอีกแล้ว”
หัวไหล่ของโจวเทียนอวิ๋นกระตุกเล็กน้อย
แล้วเสื้อคลุมสีเงินที่ประดับลวดลายสัญลักษณ์ของกองทัพเซียนกระบี่ก็หล่นลงไปจากหัวไหล่ของเขา
องครักษ์ที่อยู่ข้างกายรีบวิ่งเข้ามารับเสื้อคลุมเอาไว้ได้ทัน
โจวเทียนอวิ๋นถอดชุดเกราะออกอย่างไม่สนใจ
“ได้เวลาสนุกแล้วสิ”
โจวเทียนอวิ๋นยืนเปลือยกายท่อนบน สะบัดข้อมือเพิ่มความตื่นตัว
…
ในเวลาเดียวกันนี้
“ฮ่า ๆๆ ในที่สุด เจ้าพวกมนุษย์โสโครกก็สู้พวกเราไม่ไหวแล้ว …เสี่ยวฉง อย่าเปิดโอกาสให้พวกมันหนีรอด ฆ่าพวกมันให้หมด เอาเลือดพวกมันมาดื่ม เอาเนื้อพวกมันมาทานให้อิ่มหนำ!!!”
กองทัพที่รับหน้าที่โจมตีในครั้งนี้เป็นกองทัพของเผ่าอสูรใบไม้ หัวหน้าของพวกมันเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นจอมอสูรจักราระดับ 3 มันชูกระบองหนามแหลมในมือขึ้นสูง ระเบิดเสียงคำรามด้วยความตื่นเต้น
บรรดาบริวารของมันกระโดดขี่หลังอสูรดาราและพุ่งเข้าไปหากองทัพมนุษย์ด้วยความบ้าคลั่ง…
อาวุธในมือของพวกมันทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นดาบหรือค้อน หอกแหลมและกระบอง ต่างก็ถูกตวัดกวัดแกว่ง เสียงร้องของอสูรแผดคำรามฟังดูน่าขนพองสยองเกล้า
กองทัพของพวกมันเป็นการรวมตัวของอสูรเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ในช่วงสงคราม พวกอสูรจะสามัคคีกันเป็นพิเศษ แม้ผู้ที่เป็นแม่ทัพใหญ่จะไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับพวกมัน แต่บรรดานายทหารอสูรก็จะปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่ลังเล
เมื่อเห็นกองทัพฝ่ายมนุษย์ล่าถอย ฝ่ายอสูรก็ยิ่งได้ใจ พวกมันโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งและไล่ตามกองทัพฝ่ายมนุษย์ไปด้วยความกระหายเลือด
การปะทะกันเกิดขึ้นอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ นักรบระดับสูงของเผ่าอสูรใบไม้ เผ่าอสูรสายฝนและเผ่าอสูรหินขาวกลับเป็นฝ่ายถูกตีแตกยับเยิน กำลังพลของพวกมันถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก
เมื่อมองดูจากระยะไกล นี่คือการต่อสู้ที่วุ่นวายโกลาหล
ห่างออกมาบนหลังอสูรดาราตัวหนึ่ง ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอสูรในครั้งนี้มีนามว่าเอ้อตั้ว มันได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มอสูรสงคราม และเอ้อตั้วก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้เช่นกัน
แต่มันไม่ได้สั่งให้ยุติการโจมตี
แม้ว่าการปะทะกันในครั้งนี้จะทำให้กองทัพอสูรต้องสูญเสียกำลังพลเป็นจำนวนมาก แต่กำลังพลโดยรวมของฝ่ายอสูรนั้นมีมากกว่าฝ่ายมนุษย์หลายเท่า นั่นหมายความว่าหากพวกมันสามารถบุกยึดอาณาจักรซือเว่ยได้สำเร็จจริง ๆ กองทัพอสูรก็ต้องแบ่งปันทรัพย์สินกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ยิ่งปล่อยให้พวกอสูรตายไปมากเท่าไหร่ก็ถือเป็นเรื่องดีเท่านั้น เพราะนั่นเท่ากับว่าบรรดาอสูรที่รอดชีวิตจะได้รับส่วนแบ่งเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
แน่นอนว่าเอ้อตั้วย่อมมองเห็นว่าผู้นำการรบของกองทัพมนุษย์ในขณะนี้ เป็นชายฉกรรจ์ที่เปลือยกายท่อนบนผู้หนึ่ง เขาปรากฏตัวทางซ้ายทีขวาที คอยสังหารบรรดาอสูรด้วยความสนุกสนาน
ราวกับว่านายทหารผู้นี้ไม่ได้เห็นกองทัพอสูรอยู่ในสายตาเลย
โลหิตสาดกระจายเต็มท้องฟ้า
ในที่สุด การบุกโจมตีของกองทัพอสูรก็ต้องยุติลง
พวกมันไม่สามารถไล่ตามกองทัพมนุษย์ไปได้อีก
ซากศพของอสูรจำนวนมากลอยเกลื่อนเต็มท้องฟ้าไม่ต่างจากซากปลาเน่าในมหาสมุทร จำนวนซากศพอสูรแผ่รัศมีกว้างไกลถึงห้าร้อยลี้ มองดูเป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
“คิดไม่ถึงเลยว่าพวกมนุษย์จะยังมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่อีก”
เอ้อตั้วจ้องมองไปยังโจวเทียนอวิ๋นผู้เปลือยกายท่อนบนอวดมัดกล้ามกำยำ
เพียงคนผู้นี้ผู้เดียว ก็สามารถหยุดยั้งการโจมตีของกองทัพอสูรได้แล้ว
หากไม่ใช่เพราะนักรบผู้นี้ ป่านนี้กองทัพอสูรคงไล่ตามไปสังหารกองทัพมนุษย์หมดสิ้น แม้จะมีการต่อต้านขัดขืน แต่ฝ่ายอสูรก็คงไม่ได้รับความเสียหายถึงขนาดนี้อย่างแน่นอน
“ถ่ายทอดคำสั่งไม่ต้องไล่ตามไปแล้ว”
“ให้กองทัพของพวกเราทั้งหมดกระจายกำลังกันปิดล้อมกำแพงเมืองเอาไว้”
“แจ้งเตือนให้กองทัพปีศาจของหลี่อี้สวิ่นรับทราบว่าเราจะอนุญาตให้พวกนางเข้าร่วมการสู้รบ โดยเราจะยกพื้นที่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของกำแพงเมืองให้แก่กองทัพของนางโดยเฉพาะ”
“อีกสามชั่วยามเราจะเริ่มการโจมตี ภายในสามวัน เราจะทำลายเมืองหลานเหนี่ยวให้ราบเป็นหน้ากลอง มนุษย์ทุกคนที่ถูกจับตัวได้จะต้องกลายเป็นทาสรับใช้และเป็นอาหารให้แก่พวกเรา ผู้ใดก็ตามที่คิดต่อต้านขัดขืน มันผู้นั้นจะต้องกลายเป็นซากศพ”
น้ำเสียงของเอ้อตั้วหนักแน่นและเย็นชา
คลื่นเสียงดังกังวานแผ่ไปรอบบริเวณ
ความคิดของมันไม่มีสิ่งใดซับซ้อน
ความต้องการเพียงอย่างเดียวของมันคือการบุกขยี้ฐานที่มั่นสุดท้ายของกองทัพมนุษย์ หากสามารถทำลายเมืองหลานเหนี่ยวได้สำเร็จ การบุกยึดเมืองเทียนหลางซิงก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอีกแล้ว
และเอ้อตั้วตั้งใจจะใช้โอกาสนี้สอนบทเรียนสำคัญให้แก่สำนักม่วงมหากาฬของพวกปีศาจ มันต้องการจะทำให้พวกปีศาจได้เห็นว่าลำพังกองทัพอสูรเพียงฝ่ายเดียวก็สามารถยึดครองทรัพยากรทั้งหมดได้แล้ว พวกมันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้ใดแม้แต่น้อย
หลังจากนั้น กองทัพอสูรก็เริ่มนับเวลาถอยหลัง
และหลี่อี้สวิ่นก็ได้นำป้อมปราการลอยฟ้ามาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กองทัพปีศาจตั้งค่ายกลเตรียมบุกโจมตีกำแพงเมืองฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ได้ทุกเมื่อ
นับตั้งแต่ที่หัวหน้าคณะทูตอสูรถูกฆ่าตาย หลี่อี้สวิ่นก็ไม่เคยปฏิเสธคำสั่งจากเอ้อตั้วอีกเลย และนั่นก็ทำให้ฝ่ายอสูรดูถูกดูแคลนพวกปีศาจมากยิ่งขึ้น
หนึ่งชั่วยามให้หลัง
มังกรแดงตัวหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือสมรภูมิรบ
มันเป็นมังกรแดงแก่ชรา ขนาดลำตัวยาวเหยียดนับลี้ ยามที่สะบัดหาง คลื่นพลังก็จะแผ่กระจายออกไป
หลังจากนั้น มังกรแดงก็ย่อขนาดลงมาจนกลายร่างเป็นชายชราผมขาวผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีแดงและถูกล่ามโซ่ตรวนคนหนึ่ง เขาเดินตามหลังชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมสีม่วงหายตัวเข้าไปในป้อมปราการลอยฟ้าของสำนักม่วงมหากาฬ
“กราบเรียนท่านผู้บัญชาการ บัดนี้ จ้าวสำนักม่วงมหากาฬได้มาถึงแล้วขอรับ”
นักรบอสูรตัวหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน
เอ้อตั้วยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น
ต่อให้เอาจ้าวสำนักมาก็ไม่ช่วยอะไรหรอก
เพราะสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของฝ่ายอสูรเรียบร้อยแล้ว
หลังจากใช้ความคิดเล็กน้อย เอ้อตั้วก็สั่งให้กำลังพลของอสูรทั้งสิบหกเผ่าพันธุ์ เตรียมพร้อมสำหรับการบุกโจมตีในอีกสองชั่วยามที่กำลังจะมาถึง
แต่สิ่งที่เอ้อตั้วไม่รู้เลยก็คือภายในป้อมปราการลอยฟ้าของสำนักม่วงมหากาฬขณะนี้ ได้บังเกิดการต่อสู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์อสูรของพวกมันไปตลอดกาล!