เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1843 ขอความร่วมมือ
ตอนที่ 1,843 ขอความร่วมมือ
หัวใจปีศาจ
นี่คือของบรรณาการชิ้นสุดท้ายจากท่านเจ้าสำนัก
เป็นสิ่งมีค่าเดียวที่เขาเหลืออยู่
ในที่สุด เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็หันมาชำเลืองมอง
แต่ก็เพียงชำเลืองมองเท่านั้น
ในแววตาของนางไม่มีการให้อภัย… และไม่มีความเกลียดชัง
เป็นเพียงการชำเลืองมองธรรมดา
ไม่ต่างจากชำเลืองมองเศษขยะข้างถนน
หัวใจของท่านเจ้าสำนักม่วงมหากาฬคนปัจจุบันนั้น มีค่ามากพอที่จะก่อให้เกิดสงครามแย่งชิงได้อย่างง่ายดาย เพราะมันอัดแน่นด้วยพลังที่ท่านเจ้าสำนักสั่งสมมาตลอดหลายพันปี หากผู้ใดได้ดูดซับเข้าไป ก็จะต้องกลายเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน...
แต่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกลับมองมันด้วยความเฉยเมย
นางปล่อยให้หัวใจดวงนั้นแข็งตัวจนกลายเป็นหินขาว
จากนั้นมวลพลังก็สลายหายไปสิ้น
หลังจากนั้น ร่างไร้วิญญาณของท่านเจ้าสำนักรวมไปถึงหัวใจในมือของเขาก็แตกสลายเป็นฝุ่นผงในอากาศ
หลี่อี้สวิ่นเฝ้ามองหัวใจปีศาจแตกสลายไปด้วยความเสียดาย
เพราะนั่นคือหัวใจของท่านเจ้าสำนัก
หัวใจที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาล
หากนางสามารถนำมาหลอมรวมพลังได้สำเร็จ หลี่อี้สวิ่นก็จะสามารถเลื่อนขั้นพลังได้โดยทันที และนางก็จะไม่ต้องหวาดเกรงผู้ใดอีกแล้ว
ถนนสายใหม่จะเปิดกว้างสำหรับนาง
แต่น่าเสียดายนัก…
สมบัติล้ำค่าเช่นนี้หาได้มีค่าในสายตาของท่านภูตอเวจีไม่ มันแทบไม่ต่างไปจากเศษขยะที่ท่านภูตอเวจีสามารถปล่อยให้เน่าสลายได้โดยไม่คิดเสียดาย
หรือว่าตัวตนของท่านเจ้าสำนักม่วงมหากาฬคนปัจจุบัน จะไม่ได้มีค่าในสายตาของท่านภูตอเวจีเลยแม้แต่น้อย?
เมื่อความคิดของหลี่อี้สวิ่นดำเนินมาถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงภาพที่ท่านเจ้าสำนักยอมคุกเข่าหมอบกราบเมื่อสักครู่ แสดงว่าระหว่างคนกลุ่มนี้ต้องมีประวัติความเป็นมาในอดีตมาก่อนและนี่ก็คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับท่านเจ้าสำนักคนปัจจุบันแล้ว
“จงติดตามข้าออกไปด้านนอกและปฏิบัติตามแผนเดิมที่วางเอาไว้”
เซี่ยเต๋อจีจ้องมองไปที่หลี่อี้สวิ่น
หลี่อี้สวิ่นรีบประสานมือรับคำสั่งด้วยความเคารพ “ผู้น้อยรับคำบัญชา”
หลังจากนั้น นางก็ลากตัวเยว่ชิงอานเดินตามหลังเซี่ยเต๋อจีออกไปนอกห้องโถงใหญ่พร้อมกัน
“เจ้าก็ออกมาด้วย”
เสียงของหญิงสาวตาบอดดังขึ้น
อวี้เหวินซิวเซียนที่พยายามทำเสมือนตนเองไม่มีตัวตนอยู่ในห้องโถงใหญ่จำเป็นต้องหมุนตัวเดินตามออกไปอย่างไม่มีทางเลือก
ในห้องโถงใหญ่ขณะนี้จึงเหลืออยู่แต่เพียงหลินเป่ยเฉินกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแค่สองคน
บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นความสงบสุข
รัศมีความเย็นชาจากเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจางหายไป ก่อนที่นางจะหันมาส่งยิ้มให้แก่หลินเป่ยเฉิน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ละอองน้ำที่ระเหยออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็เริ่มเบาบางลง เช่นเดียวกับคลื่นความร้อนในร่างกายของเขา
หลินเป่ยเฉินลืมตากลับขึ้นมาอย่างช้า ๆ
“เรียบร้อยแล้วหรือ?”
เด็กหนุ่มกวาดสายตามองรอบตัวด้วยความมึนงง เขาไม่พบเห็นท่านเจ้าสำนักม่วงมหากาฬอีกต่อไปจึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “หมอนั่นตายแล้วหรือ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยังคงใช้สายตาสำรวจมองเรือนร่างของหลินเป่ยเฉินต่อไปเพื่อทำการเก็บข้อมูล “ใช่ คนผู้นั้นตายแล้ว แต่ช่างเถอะ… บัดนี้ เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินลองขยับร่างกายของตนเอง
เขารู้สึกได้ถึงมวลพลังที่เพิ่มมากขึ้น
“ดูเหมือนข้าจะแข็งแกร่งมากขึ้น คัมภีร์ของพี่สาวตาบอดช่วยข้าได้เยอะเลยทีเดียว…”
หลินเป่ยเฉินตื่นเต้นกับพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ท่านบอกว่าคนผู้นั้นตายแล้ว แต่ข้ายังไม่ได้ฆ่าเขาเลยนะ แล้วเขาจะตายได้อย่างไร….”
“คนชั่วอย่างไรก็ต้องถึงที่ตายอยู่วันยันค่ำ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยิ้มออกมาด้วยความอ่อนโยน “ถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็ไม่มีทางสู้เจ้าได้อยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่ไว้ใจ “เลิกเยินยอข้าสักที”
“ข้าคงไม่ได้สำคัญสำหรับเจ้าอีกแล้วสินะ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกลอกตามองบนด้วยความเบื่อหน่าย “คนเสเพลอย่างเจ้าไม่ทราบว่าหลับนอนกับสตรีไปกี่คนแล้วเล่า?”
“ก็ไม่กี่คนหรอก... เดี๋ยวก่อนสิ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านสักหน่อย”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตและพูดด้วยความไม่อยากเชื่อ “ท่านยังจะมีหน้ามาพูดจาเช่นนี้อีกหรือ? ไม่เจอกันตั้งนาน ไม่ทราบว่าท่านเที่ยวไปหว่านเสน่ห์ใส่ผู้ใดบ้างหรือไม่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอและตอบว่า “เจ้ายังมีหน้ามากล่าวโทษข้าได้อีกหรือ? ดูสภาพของเจ้าตอนนี้ก่อนเถอะ เสื้อผ้าเจ้าหายไปไหนหมดแล้ว”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
ทันใดนั้น เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าการต่อสู้ที่เพิ่งจบลงไปนั้น ทำให้เสื้อผ้าของตนเองฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี
สภาพของเขาในขณะนี้จึงแทบจะกลายเป็นชีเปลือยแล้ว
เด็กหนุ่มรีบนำเสื้อคลุมสีขาวมาสวมใส่พร้อมกับกล่าวว่า “ทำไมท่านไม่เตือนข้าให้เร็วกว่านี้?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกมือปาดน้ำลายที่ไหลออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบยิ้ม ๆ ว่า “ในเมื่อมีของดีให้ดู แล้วข้าจะเตือนเจ้าทำไม?”
ให้ตายเถอะ…
นางกลับไปเป็นเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงคนเดิมอีกแล้วหรือ?
มิน่าล่ะ ตอนที่อยู่ในดินแดนทวยเทพ นางถึงชอบเอาแต่ดื่มสุราเมามายและนอนเปลือยกายทุกวี่วัน
เมื่อเห็นสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็กล่าวต่ออย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้าอย่ามาสนใจเรื่องนี้เลย อันที่จริง ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ก็เพราะอยากจะเตือนเจ้าว่าในขณะนี้เจ้าอาจจะเป็นผู้แข็งแกร่งก็จริง แต่หากเจ้าออกไปจากเส้นทางหวังซินเมื่อไหร่ พลังที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักราก็ไม่ถือว่าเป็นผู้สูงส่งอันใดเลย เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ มิเช่นนั้น เจ้าก็คงต้องตายไม่ต่างไปจากเศษสวะข้างถนนผู้หนึ่ง”
“สุดท้าย ข้าก็กลายเป็นเศษสวะแล้วสินะ”
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอด
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรีบแก้ตัวว่า “ขออภัย เจ้ายังไม่ได้หมดหวังถึงเพียงนั้น แต่เจ้าจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด… แผนการขั้นต่อไปของข้าจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้า ไม่ทราบว่าเจ้าพอจะปลอมตัวเป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักม่วงมหากาฬได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและใช้แอปเมจิก คาเมร่าเปลี่ยนโฉมตนเองเป็นเจ้าสำนักม่วงมหากาฬที่เพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อครู่
แล้วพวกเขาก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่เหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
หลี่อี้สวิ่นและกลุ่มแม่ทัพคนสำคัญของกองทัพปีศาจรวมตัวกันอยู่ที่ด้านนอก
เมื่อเห็นบุคคลทั้งสองก้าวออกมา หลี่อี้สวิ่นก็รู้แล้วว่าท่านเจ้าสำนักผู้นี้เป็นหลินเป่ยเฉินปลอมตัวและนางก็อดตกตะลึงไม่ได้
เพราะว่าเขาปลอมตัวได้แนบเนียนเหลือเกิน
สมแล้วที่เป็นผู้ที่ถูกเลือก
“หลีกทางหน่อย”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
มีเพียงตอนที่อยู่กับหลินเป่ยเฉินเท่านั้น นางถึงจะแสดงด้านที่อ่อนโยนของตนเองออกมา บัดนี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกลับไปเป็นภูตอเวจีผู้เย็นชาอำมหิต ไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาอีกครั้ง