เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1850 ออกเดินทาง
ตอนที่ 1,850 ออกเดินทาง
วันนี้เป็นวันที่ยุ่งที่สุดในชีวิตของหลินเป่ยเฉิน
เขาเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองของกองทัพเซียนกระบี่ เพื่อพบปะกับบรรดานายทหารจำนวนมาก
หลังจากนั้น เขาก็ทำตามคำแนะนำของหวังจง โดยการแต่งตั้งให้โจวเทียนอวิ๋นขึ้นมาดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เป็นการชั่วคราว นอกจากนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยังได้แต่งตั้งให้บรรดายอดฝีมือที่เขาพาตัวมาจากแผ่นดินตงเต้าขึ้นเป็นผู้ช่วยของโจวเทียนอวิ๋นอีกด้วย เพียงเท่านี้ โครงสร้างทางอำนาจก็มั่นคงดีแล้ว
แม้ว่าหลังจากนี้จะไม่มีหลินเป่ยเฉินกับหวังจงคอยดูแล แต่กองทัพเซียนกระบี่ก็สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบระเบียบต่อไป
ต่อมา หลินเป่ยเฉินก็เดินทางเข้าสู่วังหลวงเพื่อพูดคุยกับเจ้าอ้วนและบิดา ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในอาณาจักรซือเว่ย ณ ปัจจุบัน
เมื่อเวลาดำเนินไปถึงวันรุ่งขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกจัดการเสร็จเรียบร้อย
หลินเป่ยเฉินและคณะออกเดินทางด้วยเรือเหาะธรรมดาลำหนึ่งตอนรุ่งสาง
“คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะออกเดินทางจริง ๆ”
มารดาของเจ้าอ้วนแหงนหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เดิมที นางนึกเป็นกังวลในการเรืองอำนาจของหลินเป่ยเฉินอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะหลังการสิ้นสุดสงคราม กองทัพเซียนกระบี่ชนะใจประชาชนชาวอาณาจักรซือเว่ยเป็นจำนวนมหาศาล หากหลินเป่ยเฉินคิดที่จะยึดครองบัลลังก์กษัตริย์ขึ้นมาจริง ๆ ทางราชสำนักก็ไม่มีกำลังที่จะต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย
ผลปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินกลับเป็นฝ่ายออกเดินทางไปเอง
สำหรับเด็กหนุ่มผู้นั้น การครอบครองอาณาจักรซือเว่ยไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
เพราะที่นี่เป็นดินแดนที่เล็กเกินไป
เต้าอู่หมิงผู้เป็นสามีกล่าวขึ้นมาว่า “คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ …พวกเราไม่ใช่คู่มือของเขา นับจากวันนี้เป็นต้นไป ทางราชสำนักจะให้ความร่วมมือกับกองทัพเซียนกระบี่โดยไม่มีข้อแม้ ลูกรัก บ้านเมืองของเราจะเป็นอย่างไรต่อไปในภายภาคหน้า ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าแล้ว จงอย่าทำให้ท่านราชครูหลินผิดหวังเด็ดขาด”
เจ้าอ้วนพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
พี่หลิน ข้าจะปกป้องดินแดนนี้ให้กับท่าน
ไม่ว่าท่านไปที่ไหน ไม่ว่าท่านจะกลับมาเมื่อไหร่ ตราบใดที่ท่านต้องการ อาณาจักรซือเว่ยจะเป็นของท่านเสมอ
…
เส้นทางหวังซิน
ฐานที่มั่นของราชวงศ์อี้จื่อซึ่งเป็นอาณาจักรของพวกเขานั้นคือดาวเคราะห์สามดวงซึ่งกำลังโคจรอยู่รอบอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับดวงอาทิตย์
นี่คือภาพที่แปลกประหลาดยิ่งนัก
ดาวเคราะห์สามดวงอยู่ในวงโคจรเดียวกัน พวกมันเว้นระยะห่างเท่ากัน และโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วเท่ากัน แต่กลับไม่มีสัญญาณการควบคุมด้วยค่ายอาคม
ดาวเคราะห์ทั้งสามดวงนี้เปรียบได้กับเมืองหลวงของเส้นทางหวังซิน
ดาวเคราะห์ทั้งสามดวงที่อยู่เบื้องหน้าถูกเรียกขานว่ากลุ่มดาวเคราะห์สามวงแหวนอันโด่งดัง
พวกมันคือฐานที่มั่นของราชวงศ์อี้จื่อ
พวกมันคืออาณาจักรอี้จื่อ
ดาวเคราะห์แต่ละดวงจะมีเมืองที่มีผู้คนอยู่อาศัยหนึ่งเมือง ซึ่งประกอบไปด้วยเมืองตงอวี้ เมืองเฟิงเว่ยและเมืองเว่ยไป๋ตามลำดับ
และประตูขนส่งสำหรับการเดินทางออกนอกเส้นทางหวังซินนั้นก็อยู่ที่เมืองตงอวี้
ทุกคนที่ต้องการจะเดินทางออกไปจากที่นี่ จำเป็นต้องใช้ประตูขนส่งที่เมืองตงอวี้ทั้งสิ้น
มิฉะนั้น หากเดินทางโดยใช้จุดทิ้งสมออื่น ๆ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถออกไปจากเส้นทางหวังซินได้สำเร็จ แต่เรือเหาะเหล่านั้นก็จะหลงทางอยู่กลางอวกาศอันกว้างใหญ่ ต่อให้ใช้เวลาเป็นพันปี ก็ไม่มีทางไปถึงจุดหมาย
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินและคณะจึงต้องมาอาศัยประตูขนส่งของอาณาจักรอี้จื่ออย่างไม่มีทางเลือก
เรือเหาะที่พวกเขาโดยสารมามีนามว่าเรือเหาะ ‘ทะลวงคลื่น’ มันเป็นเรือเหาะสำหรับขนส่งผู้โดยสารระดับกลาง หลังใช้เวลาเดินทางสิบวัน ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงที่หมาย
ระหว่างทาง… โดยเฉพาะในพื้นที่ควบคุมของราชวงศ์อี้จื่อ เรือเหาะทะลวงคลื่นต้องผ่านด่านตรวจเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นด่านเล็กด่านใหญ่ แต่สุดท้าย พวกเขาก็สามารถเดินทางมาถึงดาวเคราะห์สามวงแหวนได้อย่างราบรื่น…
นอกจากนี้ อย่าว่าแต่ราชวงศ์อี้จื่อจะต้องเกรงใจเซียนกระบี่นักล่าหัวหลินเป่ยเฉินที่อยู่บนเรือเหาะทะลุคลื่นเลย พวกเขาย่อมทราบดีว่าหนึ่งในผู้โดยสารบนเรือเหาะครั้งนี้ ยังมีองค์หญิงไข่มุกขาวจากราชวงศ์เกิงจินอยู่อีกด้วย ดังนั้น พวกเขาจึงไม่กล้าทำสิ่งใดที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังเด็ดขาด
กว่าที่สถานการณ์หลังสงครามจะกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ใด ตราบใดที่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็จะเกิดกลุ่ม ‘กองโจรอวกาศ’ ขึ้นมาเป็นเรื่องธรรมดา
และเหตุผลที่คณะเดินทางของหลินเป่ยเฉินไม่เคยพบเจอการโจมตีจากกองโจรอวกาศระหว่างการเดินทางเลยนั้น ก็เป็นเพราะว่าพวกเขามีกลุ่มกองโจรอวกาศชื่อดังเป็นคนคอยคุ้มกัน
กองโจรกระบี่อวตาร
หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเลยว่าหวังจงสามารถทำสำเร็จได้อย่างไร แต่ชายชราก็สามารถโน้มน้าวให้กองโจรกระบี่อวตารมาทำหน้าที่เป็นหน่วยคุ้มกันให้แก่เรือเหาะทะลวงคลื่นได้สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่แม้แต่ราชวงศ์อี้จื่อก็ยังไม่สามารถควบคุมกองโจรนี้ได้เลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น เรือเหาะทะลวงคลื่นจึงมาถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
นี่ทำให้หลินเป่ยเฉินอดตกตะลึงในความน่าเกรงขามของกองโจรกระบี่อวตารไม่ได้
เรือเหาะของพวกเขาค่อย ๆ ลอยลำไปยังพื้นที่รอบนอกของกลุ่มดาวเคราะห์สามวงแหวน
ท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ที่มนุษย์สร้างขึ้นปรากฏเบื้องหน้า
ท่าเทียบเรือสร้างขึ้นมาด้วยโลหะและค่ายอาคม พวกมันมีความคงทนแข็งแรง ลักษณะไม่ต่างจากวงแหวนดาวเสาร์ ท่าเทียบเรือจะตั้งอยู่ด้านนอกของกลุ่มดาวเคราะห์สามวงแหวน เมื่อผ่านการตรวจสอบของท่าเทียบเรือแล้ว เรือเหาะถึงจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสู่ระบบดาวเคราะห์สามวงแหวนต่อไป
หากตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยและพบว่าไม่มีปัญหาใด ๆ เรือเหาะทะลวงคลื่นก็จะลอยลำไปต่อแถวสำหรับเข้าสู่เมืองตงอวี้เพื่อใช้บริการประตูขนส่ง
และเมื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเสร็จสิ้น พวกเขาก็จะสามารถเดินทางออกไปจากเส้นทางหวังซินได้โดยทันที
“พี่หลิน ท่านเห็นหรือไม่? นี่คือกลุ่มดาวเคราะห์สามวงแหวน ดาวเคราะห์ทั้งสามดวงนี้ล้วนเป็นผู้คนสร้างขึ้นมา ที่นี่คือฐานที่มั่นของราชวงศ์อี้จื่อ ข้าไม่ปฏิเสธหรอกว่าราชวงศ์อี้จื่อมีทั้งความกล้าหาญ มีขุมกำลังและทรัพยากรที่น่าทึ่ง”
หลิงเฉินนั่งแกว่งขาอยู่บนดาดฟ้าเรือเหาะ ขณะเอนตัวซบไหล่หลินเป่ยเฉิน ซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างกันและถอนหายใจ
“เป็นผู้คนสร้างขึ้นมาหรือ?”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองดาวเคราะห์ทั้งสามดวงที่เริ่มขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ และกล่าวด้วยความตกตะลึง “เจ้าหมายความว่าดาวเคราะห์ทั้งสามดวงนี้เป็นมนุษย์สร้างขึ้นมาทั้งหมดเลยใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่แค่ดาวเคราะห์ทั้งสามดวงนี้นะเจ้าคะ”
หลิงเฉินพลันยกมือชี้ไปยังสิ่งที่คล้ายกับดวงอาทิตย์ “ท่านเห็นตะวันดวงนั้นหรือไม่? ท่านคิดว่ามันคือสิ่งใด?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ด้วยความรู้จากวิชาดาราศาสตร์ของข้า นั่นคือดาวฤกษ์พลาสมาร้อนทรงกลมที่ผลิตสนามแม่เหล็กผ่านกระบวนการไดนาโม หรือเรียกอีกอย่างว่าดวงอาทิตย์ อย่าบอกนะว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนสร้างขึ้นมาเช่นกัน?”
หลิงเฉินพยักหน้าและยิ้มกว้าง “แม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แต่มันก็มีความคล้ายคลึงกันไม่น้อย”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความพิศวง
“อันที่จริงมันคือดวงตาเจ้าค่ะ”
หลิงเฉินตอบ
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองได้ยินผิด จึงต้องทวนคำซ้ำอีกครั้ง “ดวงตาอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ นี่คือดวงตาของผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์”
หลิงเฉินผงกศีรษะและหันมาสบตามองหลินเป่ยเฉิน “จอมเทพอนันต์เป็นขอบเขตพลังที่อยู่สูงกว่าจอมเทพจักรา และจอมเทพอนันต์ผู้ใช้ธาตุไฟเมื่อตายไปแล้ว ดวงตาของเขาก็จะกลายเป็นดวงอาทิตย์เช่นนี้… หุ ๆ พี่หลิน บัดนี้ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์นั้นมีความน่ากลัวมากเพียงใด?”
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงจริง ๆ
ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่าขอบเขตจอมเทพจักราอีกหรือนี่?
ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!
นี่เป็นเรื่องที่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ในทุกทฤษฎี
เมื่อคนเราตายแล้ว ดวงตาก็จะกลายเป็นดวงอาทิตย์ที่ล่องลอยอยู่ในอวกาศ คอยให้แสงสว่างแก่ผู้คนเนี่ยนะ?
นั่นหมายความว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจอมเทพอนันต์ต้องมีความแข็งแกร่งมากเลยสิ?
สามารถทำลายดาวเคราะห์ได้ด้วยเส้นผม?
สามารถบดขยี้ดาวเคราะห์ได้ด้วยมือเปล่า?
สามารถเหยียบย่ำดาวเคราะห์ได้ด้วยเท้าเพียงข้างเดียว?
ดูเหมือนการทำลายล้างดวงดาวด้วยมือเปล่าคงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าขานในตำนานอีกต่อไป
ยิ่งหลินเป่ยเฉินคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตกตะลึงมากเท่านั้น