เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1853 คำสัญญา
ตอนที่ 1,853 คำสัญญา
องค์ชายหลิงหวงฉีพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เจ้าเด็กคนนี้ยังเป็นมนุษย์อีกหรือไม่?
เมื่อสักครู่นี้ยังเป็นปฏิปักษ์กับเขาอยู่เลย
มาบัดนี้กลับพูดประจบเอาใจเขาเสียแล้ว
สามารถเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วยิ่งกว่าเปลี่ยนหน้ากระดาษเสียอีก
“เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยนะว่า ในความคิดของเจ้า ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร?”
องค์ชายหลิงหวงฉีถาม
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เคยมีผู้ใดสามารถควบคุมชะตาชีวิตของตนเองได้ด้วยหรือขอรับ?”
องค์ชายหลิงหวงฉีระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที “ข้านึกว่าเจ้าจะตอบว่าเจ้าคือผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง”
“เป็นผู้แข็งแกร่งแล้วอย่างไรหรือ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง สุดท้ายก็ยังควบคุมชะตาชีวิตของตนเองไม่ได้อยู่ดี”
องค์ชายหลิงหวงฉีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “คนที่อายุยังน้อยอย่างเจ้าสามารถมองโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่งนัก”
หลินเป่ยเฉินเชิดหน้าขึ้นและกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเคยอ่านบทกวีในช่วงราชวงศ์ถังมาถึงสามร้อยครั้ง ข้าจึงสามารถแต่งบทกวีได้ไม่จบสิ้น… นอกจากนี้ ข้ายังเคยอ่านวรรณกรรมชนิดต่าง ๆ มาอีกนับไม่ถ้วน ทุกอย่างหลอมรวมกันทำให้กระบวนการความคิดของข้าแตกต่างจากผู้อื่น แต่โดยทั่วไปแล้ว ข้าจะปิดบังความจริงในข้อนี้เอาไว้ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้”
ถึงแม้คำพูดของเด็กหนุ่มจะฟังดูวกวนและองค์ชายหลิงหวงฉีก็ไม่รู้เลยว่าหลินเป่ยเฉินกำลังพูดถึงอะไรกันแน่ แต่ก็น่าแปลกที่เขาเข้าใจความหมายของหลินเป่ยเฉินครบถ้วนทุกประการ
“ถูกแล้ว เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือผู้กล้ายังมียอดวีรบุรุษ และมีเพียงผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งเท่านั้น จึงจะสามารถควบคุมชะตาชีวิตของตนเอง”
องค์ชายหลิงหวงฉีพยักหน้าด้วยความพอใจ “เมื่อพวกเราผ่านประตูขนส่งของเมืองตงอวี้ออกไปแล้ว ข้าจะพาหลิงเฉินกลับไปที่อาณาจักรเกิงจิน หากเจ้าอยากแต่งงานกับนางจริง ๆ เจ้าก็จงกลับมาพร้อมกับอำนาจที่สามารถควบคุมชะตาชีวิตของตนเองให้ได้”
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะรับคำ “ไม่มีปัญหาขอรับ”
“หวังว่าเมื่อถึงวันนั้น ทุกอย่างคงไม่สายเกินไป”
คำพูดขององค์ชายหลิงหวงฉีแฝงนัยยะบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวรายละเอียด องค์ชายหลิงหวงฉีเพียงหมุนตัวและเดินจากไป
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเหาะ จ้องมองเรือเหาะไม้สภาพเก่าแก่ผุพังที่ลอยลำอยู่ห่างออกไป
ผู้คนบนเรือเหาะลำนั้นมีสีหน้าที่แตกต่างกันไป เช่นเดียวกับสัมภาระที่พกติดตัว บางคนเก็บสัมภาระอยู่ในอุปกรณ์เก็บของวิเศษ ในขณะที่บางคนก็ต้องบรรจุสัมภาระอยู่ในถุงใบใหญ่
การรวมตัวของผู้คนบนเรือเหาะไม้ลำนั้นทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงบรรยากาศของงานเทศกาลตรุษจีนบนโลกมนุษย์ใบเก่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ใบหน้าของผู้คนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย บางคนมีความสุข บางคนเหนื่อยล้า บางคนคาดหวัง พวกเขาต่างก็หวังที่จะรอดชีวิตไปให้ได้ หลังจากนั้น พวกเขาก็อยากจะชื่นชมกับความสวยงามของชีวิต
นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องไม่ใช่หรือ?
งั้นก็ขอให้ทุกท่านโชคดีก็แล้วกัน
หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจ
แต่ดูท่าวันนี้หลินเป่ยเฉินจะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้เป็นการปรากฏตัวของหลิงจุนเซวียน
บิดาของหลิงเฉินสวมใส่ชุดเกราะเล่นแร่แปรธาตุสีม่วงอ่อน หน้าตาของเขาดูอิดโรยระคนวิตกกังวล แต่ก็ยังมีสง่าราศีที่น่าเคารพเลื่อมใสอยู่เช่นเคย
“องค์ชายหวงฉีเพิ่งบอกว่าเมื่อเราผ่านประตูขนส่งออกไปจากอาณาจักรอี้จื่อแล้ว พวกเราก็ต้องแยกทางกันชั่วคราว”
หลิงจุนเซวียนมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาคาดหวัง “ข้าได้ยินมาว่าอาณาจักรเกิงจินในขณะนี้เกิดความวุ่นวาย ข้ากับท่านพ่อจะเดินทางไปพร้อมกับเฉินเอ๋อร์ หวังว่าเสี่ยวอู๋กับเสี่ยวฉือคงไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเจ้า…”
หลิงฉือกับหลิงอู๋ได้รับการชุบชีวิตด้วยโอสถคืนวิญญาณ บัดนี้ กำลังปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่อยู่ในสุสานกษัตริย์ พวกเขาจึงไม่สามารถเดินทางติดตามมาได้เป็นการชั่วคราว
อีกอย่าง หลิงจุนเซวียนก็ไม่ต้องการให้บุตรชายทั้งสองคนมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้อีกแล้ว
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นกังวล สำหรับพี่เขยทั้งสองท่านนั้น ข้าน้อยจะดูแลเป็นอย่างดี”
หลินเป่ยเฉินยกมือตบหน้าอกตนเองด้วยความมั่นใจ “พี่เขยทั้งสองท่านสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเราได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะกลายเป็นยอดฝีมือชื่อดังแล้วก็เป็นได้”
หลิงจุนเซวียนขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
นี่บุตรชายของเขาไปเป็นพี่เขยของหลินเป่ยเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่?
แต่ช่างเถอะ โต้แย้งไปตอนนี้ก็คงไร้ประโยชน์
หลินเป่ยเฉินพลันกลับมามีสีหน้าสลดหดหู่อีกครั้ง “ท่านพ่อ โปรดจำไว้ว่าอีกไม่นานข้าจะไปหาพวกท่านที่อาณาจักรเกิงจิน ฝากบอกท่านปู่ให้ดูแลสุขภาพด้วย บางครั้งแม้มีพลังยุทธ์สูงส่ง แต่หากใช้งานร่างกายหักโหมมากเกินไป ก็อาจจะเป็นอันตรายเอาได้”
“ข้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว จะไม่เข้าใจเรื่องนั้นได้อย่างไร?”
หลิงจุนเซวียนรู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ “น่าประหลาดเหลือเกินที่ถ้อยคำเหล่านี้หลุดออกมาจากปากของเซียนกระบี่นักล่าค่าหัว แต่เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไปเลย ข้าจะไปบอกท่านพ่อให้ว่าอย่าหักโหมฝึกวิชายุทธ์มากเกินไป…”
หลินเป่ยเฉินสวนขึ้นทันทีว่า “ข้าน้อยไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นขอรับ”
หลิงจุนเซวียนหยุดชะงัก “แล้วเจ้าหมายถึงเรื่องใด?”
“ข้าน้อยหมายความว่าท่านปู่เป็นคนที่บ้าตัณหาลุ่มหลงในราคะ ฝากบอกให้ท่านปู่ช่วยเบา ๆ เรื่องเหล่านั้นลงบ้างเถอะ ข้าน้อยกลัวกลับไปไม่ได้เห็นหน้าท่านปู่เหลือเกิน”
หลิงจุนเซวียนกะพริบตาปริบ ๆ
ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปด้วยความเดือดดาล
แต่ถ้าลองคิดดูให้ดี นั่นก็เป็นคำเตือนด้วยความห่วงใยจากเด็กหนุ่มจริง ๆ
หลิงไท่ซวีได้ชื่อว่าเป็นคนจอมเสเพลผู้หนึ่ง ในอดีต ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือระบือไกลไปทั่วแผ่นดินตงเต้า มียอดหญิงงามมากมายพร้อมจะวิ่งเข้าหาชายชรา และนั่นก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ง่าย ๆ
หลิงจุนเซวียนเริ่มคิดเสียใจที่ตนเองวู่วามด่วนตัดสินคำพูดของหลินเป่ยเฉินมากเกินไป
ที่แท้หลินเป่ยเฉินก็ห่วงใยบิดาของเขาจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินยืนยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ทางด้านหลัง
เพราะหลิงจุนเซวียนยอมให้เขาเรียกว่า ‘ท่านพ่อ’ นั่นก็หมายความว่าหลิงจุนเซวียนไม่ได้ขัดขวางความรักระหว่างเขากับหลิงเฉิน
เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากลากันจริง ๆ จิตใจของหลินเป่ยเฉินก็คงสงบมากขึ้นแล้ว
เรือเหาะทะลวงคลื่นเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อไป
ต้องใช้เวลาถึงสี่ชั่วยามกว่าที่เรือเหาะจะผ่านด่านตรวจของท่าเทียบเรือสิบสามชั้นเข้าสู่พื้นที่ของเมืองตงอวี้ได้สำเร็จ
ที่นี่เป็นดาวเคราะห์ทะเลทราย ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าแม้แต่ต้นเดียว รอบข้างมีแต่ภูเขาหิน สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดทำขึ้นจากศิลาดำ กำแพงเมืองทอดตัวยาวคดเคี้ยวไม่ต่างจากงูยักษ์ มองดูเพียงผิวเผิน นี่แทบไม่ต่างไปจากกำแพงเมืองจีน แต่ประโยชน์การใช้งานนอกจากใช้ป้องกันการโจมตีจากศัตรูแล้ว กำแพงเมืองเหล่านี้ยังเป็นโครงสร้างของค่ายอาคมที่ปกคลุมไปทั่วเมืองตงวี้อีกด้วย