เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1855 หน่วยเก็บศพ
ตอนที่ 1,855 หน่วยเก็บศพ
เมื่อมาถึงมุมที่ลับตาคน หวังจงก็ถลึงตาสบถใส่ทันทีว่า “เจ้าโง่ พวกเรามีป้ายประจำตัวสำหรับลูกค้าระดับสูงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
หวังเฟิงหลิวยิ้มและกล่าวว่า “นายท่านไม่ชื่นชมไหวพริบของข้าน้อยหรือขอรับ? นายน้อยยอมรับป้ายประกาศิตไปแล้ว เมื่อนายน้อยใช้งานมัน กองโจรของพวกเราก็จะรู้จักนายน้อย เดี๋ยวภายหลังข้าน้อยจะบอกนายน้อยเองว่าป้ายประจำตัวนั้นเป็นป้ายประกาศิตพิเศษ ที่ผู้ใดได้ครอบครองก็มีสิทธิ์สั่งงานกองโจรกระบี่อวตารได้ตามใจชอบขอรับ”
“แต่ปัญหาก็คือ…”
หวังจงพึมพำด้วยความไม่พอใจ “เงินที่ข้าจ่ายให้พวกเจ้าไปนั้น เป็นเงินเดือนสำหรับเดือนนี้ทั้งหมดของข้า ช่างน่าอนาถใจเหลือเกิน”
หวังเฟิงหลิวหยุดชะงักเล็กน้อย
นายท่านล้อเล่นแล้วกระมัง?
หวังเฟิงหลิวรู้ดีว่าเงินตำลึงทองสำหรับหวังจง ไม่ได้มีค่าอันใดมากไปกว่าเศษฝุ่นผงในอวกาศอันเวิ้งว้าง
ดังนั้น เขาจึงไม่เข้าใจเลยว่านายท่านของตนเองจะเสียดายไปเพื่ออันใด
แต่สุดท้าย หวังเฟิงหลิวก็ต้องคืนเงินทั้งหมดให้แก่หวังจง
หวังจงพยักหน้าด้วยความพอใจ “ประเสริฐ ตราบใดที่เจ้าดูแลนายน้อยให้ดี ข้าจะช่วยพูดถึงเจ้าในแง่ดี ให้นายน้อยฟังเอง ในอนาคต เจ้าจะต้องได้เป็นหัวหน้ากองโจรสาขาใหญ่แน่นอน”
หวังเฟิงหลิวรีบตอบรับทันทีว่า “นายท่านพูดอะไรออกมาขอรับ? ความปรารถนาของข้าน้อยคือการติดตามรับใช้นายท่านและนายน้อยต่างหาก แต่หากนายท่านต้องการให้ข้าน้อยขึ้นเป็นหัวหน้ากองโจรสาขาใหญ่ ข้าน้อยก็คงต้องขอรับไว้ด้วยความยินดี”
หวังจงพูดอะไรไม่ออก
เจ้าหมอนี่… ช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน!
…
วูบ!
เรือเหาะทะลวงคลื่นแล่นเข้าสู่ประตูมิติ
เกลียวคลื่นสีดำกลืนกินเรือเหาะทั้งลำ
รอบเรือเหาะมีม่านพลังสีเงินห่อหุ้มสว่างไสว
ประตูขนส่งของเมืองตงอวี้สามารถขนส่งเรือเหาะได้ครั้งละหลายร้อยลำ
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเหาะ เขารู้สึกได้ถึงแสงสว่างระยิบระยับที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนตนเองได้นั่งรถไฟเหาะตีลังกา ร่างกายเบาหวิวปราศจากน้ำหนัก เลือดลมในร่างกายสูบฉีดด้วยความตื่นเต้น
โครงสร้างของเรือเหาะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดราวกับว่าพร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย
สภาวะไร้น้ำหนักก็ผ่านพ้นไป
แสงสีเงินรอบกายสลายหายไป
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับปรากฏขึ้น
การเดินทางผ่านประตูมิติจบลงแล้วหรือ?
นี่พวกเขาออกมาจากอาณาจักรอี้จื่อแล้วใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินกวาดตามองไปรอบกาย
ดวงดาวขนาดใหญ่ที่ให้แสงสว่างและความร้อนปกคลุมรอบบริเวณ ทำให้บรรยากาศในขณะนี้สว่างไสวไม่ต่างจากตอนกลางวัน
หลินเป่ยเฉินพบว่าในความเวิ้งว้างเบื้องหน้าปรากฏดาวเคราะห์และอุกกาบาตที่มีขนาดแตกต่างกันลอยตัวอยู่ทั่วท้องฟ้า ดาวเคราะห์และอุกกาบาตเหล่านั้นถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นป้อมปราการสำหรับให้ผู้คนอยู่อาศัย ไม่ต่างจากป้อมปราการลอยฟ้าของสำนักม่วงมหากาฬ
“ดวงดาวเหล่านั้นเป็นจุดแวะพักสำหรับเรือเหาะที่เดินทางไกลขอรับ เมื่อผ่านประตูขนส่งมาแล้ว เรือเหาะแต่ละลำก็จะต้องเลือกว่าตนเองจะไปจอดพักที่ดาวดวงใด เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปของตนเอง”
หวังเฟิงหลิวซึ่งยืนอยู่ด้านหลังหลินเป่ยเฉินรีบอธิบายข้อมูลด้วยความเคารพ
หลินเป่ยเฉินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น เขาก็เห็นแสงสว่างวูบวาบเป็นจำนวนมากทางขวามือ แล้วสีหน้าของเด็กหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไป
เนื่องจากบนท้องฟ้าในบริเวณนั้น ท่ามกลางกลุ่มดาวจำนวนนับไม่ถ้วน หลินเป่ยเฉินพบกับเรือเหาะไม้สภาพเก่าแก่ผุพังที่ตนเองเคยเจอก่อนหน้านี้ มันไม่สามารถทนรับสภาพอันโหดร้ายของการเดินทางผ่านประตูมิติได้ แรงดันบีบอัดเรือเหาะไม้จนอยู่ในสภาพที่น่าอนาถ มันจึงไม่สามารถเดินทางได้อีกต่อไป
บางคนเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าจึงนำอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุมาต่อเป็นปีกบนแผ่นหลังพร้อมด้วยอุปกรณ์ช่วยหายใจ หรือบางคนที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิก็สามารถอยู่รอดได้ชั่วคราวโดยไม่ต้องใช้ม่านพลัง แต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีความพร้อมและไม่ได้มีขั้นพลังแข็งแกร่งเช่นนั้น ม่านพลังบนเรือเหาะไม้ชำรุดเสียหาย พวกเขาได้แต่ร่ำร้องขอความเมตตา ในขณะที่ลมหายใจแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ…
“ช่างน่าสงสารเหลือเกิน”
หวังเฟิงหลิวส่ายศีรษะก่อนถอนหายใจ
หลินเป่ยเฉินสอบถามว่า “หากข้าจะสั่งให้พวกเจ้าไปช่วยชีวิตผู้คนเหล่านั้น เจ้าจะคิดค่าบริการเท่าไหร่?”
หวังเฟิงหลิวชะงักกึก พูดละล่ำละลักว่า “นายท่าน นายท่านช่างมีคุณธรรมเหลือเกิน… สำหรับการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเช่นนี้ กองโจรคุณธรรมอย่างพวกเราไม่คิดค่าใช้จ่ายหรอกขอรับ”
กล่าวจบ ชายหนุ่มก็สั่งงานลูกสมุนของตนเอง แล้วเรือเหาะลำเล็กกลุ่มหนึ่งก็แล่นออกไปช่วยเหลือผู้คนบนเรือเหาะไม้ที่กำลังจะตายในไม่ช้า
“เจ้าพวกนี้ก็เป็นคนดีเหมือนกันแฮะ”
เมื่อเห็นภาพนั้น หลินเป่ยเฉินก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
แต่ไม่กี่อึดใจต่อมา เขาก็เห็นว่านอกจากพวกของหวังเฟิงหลิวที่รีบเข้าไปช่วยเหลือแล้ว ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามจะเข้าไปช่วยเหลือผู้คนบนเรือเหาะไม้เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันอย่างรุนแรง สุดท้าย หวังเฟิงหลิวก็ต้องนำแผ่นป้ายอะไรบางอย่างออกมาแสดง และนั่นก็ทำให้ผู้ช่วยเหลืออีกกลุ่มหนึ่งต้องล่าถอยไปอย่างไม่เต็มใจ…
ในที่สุด ผู้โดยสารบนเรือเหาะไม้ก็ถูกช่วยเหลือได้ประมาณเจ็ดส่วน
อีกสามส่วนหากไม่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ถูกกลุ่มผู้ช่วยเหลืออีกกลุ่มหนึ่งพาตัวไป
หวังเฟิงหลิวนำผู้รอดชีวิตกว่าสามร้อยคนกลับมายังดาดฟ้าเรือพร้อมกับกล่าวว่า “กราบเรียนนายท่าน ข้าน้อยพาทุกคนมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัยแล้วขอรับ ส่วนผู้ใดที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือของเรา ข้าน้อยก็ไม่ได้บังคับ…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ หวังเฟิงหลิวก็หยุดชะงักเล็กน้อยก่อนกัดฟันกล่าวต่อไป “แต่แน่นอนว่าหากนายท่านต้องการช่วยเหลือคนเหล่านั้นด้วย ข้าน้อยก็จะส่งผู้คนไปตามตัวกลับมา ข้าน้อยก็อยากจะรู้เช่นกันว่าในเส้นทางขนส่งแห่งนี้ ยังจะมีผู้ใดกล้าขัดขวางกองโจรกระบี่อวตารอีกหรือไม่”
หลินเป่ยเฉินโบกมือกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก พวกเราช่วยคนเพราะเจตนาดี อย่าไปแย่งชิงพวกเขากลับมาเลย ถึงอย่างไรพวกเขาก็คงได้รับความช่วยเหลือเหมือนกัน”
หวังเฟิงหลิวลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “นายท่านขอรับ แต่คนกลุ่มนั้นไม่ได้มาช่วยเหลือผู้ประสบเหตุนะขอรับ”
“อ้าว?”
หลินเป่ยเฉินเป็นฝ่ายที่ต้องหยุดชะงักบ้าง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หวังเฟิงหลิวเดินเข้ามากระซิบข้างหูเขาว่า “คนกลุ่มนั้นเป็นหน่วยเก็บศพขอรับ เมื่อเกิดเหตุเรือเหาะชำรุดเสียหายหลังเดินทางผ่านประตูขนส่ง หน่วยเก็บศพก็จะมารับหน้าที่จัดการกับผู้เสียชีวิตและยึดครองทรัพย์สินทุกอย่างไปเป็นของตนเอง ส่วนผู้ที่ยังไม่เสียชีวิต พวกเขาก็จะปลดทรัพย์และจับตัวไปเป็นอาหารให้แก่อสูรดาราขอรับ”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้น ขนก็ลุกเกลียว
เขารู้สึกเย็นวาบขึ้นมาตั้งแต่ฝ่าเท้าถึงไขสันหลัง ก่อนที่ความเย็นวาบนั้นจะแล่นขึ้นสู่ศีรษะ
ยังมีกลุ่มคนที่หากินอย่างไร้ยางอายเช่นนี้อยู่อีกหรือ?
“พวกมันกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? แล้วอาณาจักรที่ปกครองเส้นทางนี้ไม่ทำอะไรบ้างหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความไม่พอใจ